Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: [1] 2 3 ... 18   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: read read readingggggggggggggg  (อ่าน 12782 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« เมื่อ: ตุลาคม 22, 2013, 10:03:19 AM »



10 ท่ายาก การลงทุน (1/2)

คำว่า ‘ท่ายาก’ เริ่มคุ้นหูในวงสนทนาคนใกล้ชิดหรือจากสื่อออนไลน์บ่อยขึ้น แต่หากเป็นคอกีฬายิมนาสติกหรือกีฬากระโดดน้ำแล้ว จะเป็นคำที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เพราะหากเลือกใช้ ‘ท่ายาก’ ซึ่งมีระดับความยากมากกว่า ‘ท่าปกติ’ นักกีฬาจะได้รับคะแนนพิเศษเพิ่มขึ้นอีกหากทำได้สมบูรณ์แบบ ทำให้มีโอกาสชนะในการแข่งขันมากขึ้น ในทางกลับกัน หากนักกีฬาไม่สามารถทำได้ดังคาด จะถูกตัดคะแนนและอาจทำให้ ‘พลาด’ เหรียญรางวัลได้เช่นกัน การเลือกใช้ท่ายากจึงเหมาะสำหรับ นักกีฬาที่มีทักษะ ผ่านการฝึกฝนอย่างดี และมีความพร้อมสภาพร่างกายขณะแข่งขันด้วย

   เป้าหมายของนักลงทุนคือ การได้รับผลตอบตอบแทนที่ดีหรือ ‘มีกำไร’ และต้อง ‘ไม่ขาดทุน’ จากการลงทุน ดังนั้น นักลงทุนจึงควรพิจารณาหลีกเลี่ยง ‘ท่ายาก’ ในการลงทุนเพราะอาจวิธีเป็นหนึ่งที่หลีกเลี่ยงการขาดทุน ท่ายากในการลงทุนมีอะไรบ้าง
 
 ท่าแรก ลงทุนแบบไม่มีหลักการลงทุน แนวทางหรือหลักการลงทุนมีมากมายหลายวิธี เช่น การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน หรือการใช้ปัจจัยทางเทคนิค แม้แต่ละวิธีจะมีจุดเด่น ข้อด้อยที่แตกต่างกันไป นักลงทุนที่ต้องการประสบความสำเร็จจำเป็นต้อง ‘ตกผลึก’ ทางความคิดหลักการลงทุนของตน โดยเรียนรู้จากทั้งความผิดพลาดและกรณีประสบความสำเร็จในอดีต หลักการที่ดีจะต้องเหมาะกับแนวทางการใช้ชีวิตและตรงกับ ‘จริต’ ของตนอีกด้วย

   การลงทุนตามข่าวลือ อินไซด์ ตามเซียนหุ้น แม้จะได้ผลกำไรงามในบางสถานการณ์ แต่ไม่ใช่หลักการลงทุนที่ยั่งยืนเพราะจำเป็นต้อง ‘พึ่ง’ ผู้อื่นอยู่เสมอ หากข้อมูลคลาดเคลื่อนไม่ทันเหตุการณ์ อาจเกิดความเสียหายขึ้นได้  นอกจากนี้ การไม่ได้วิเคราะห์และตัดสินใจลงทุนด้วยตนเอง จะทำให้ไม่กล้าเข้าลงทุนในปริมาณที่มีนัยสำคัญแม้จะพบกิจการยอดเยี่ยมในราคายุติธรรมก็ตาม
   
ท่าที่สอง ลงทุนเกินขอบข่ายความรู้ (Circle of Competency) หากเปรียบการลงทุนหุ้นเสมือนการนำเงินในสัดส่วนที่มีนัยสำคัญของตนเข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนธุรกิจแล้ว นักลงทุนจำเป็นต้องศึกษา ค้นคว้า เรียนรู้ เพื่อเข้าใจทั้งข้อมูลอุตสาหกรรม สภาวะการแข่งขัน โครงสร้างและรูปแบบธุรกิจ ความเสี่ยง สถานะทางการเงิน ตลอดจนทีมผู้บริหาร ก่อนตัดสินใจลงทุนหลังจากผ่านการวิเคราะห์อย่างดี นักลงทุนมีแหล่งข้อมูลที่เปิดเผยเกี่ยวกับบริษัทที่สนใจลงทุน ได้แก่ แบบฟอร์ม 56-1 รายงานประจำปี งบการเงินรายไตรมาส งาน Opportunity Day ฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ของบริษัท เป็นต้น

   ในทุกวันทำการ จะมีคนเสนอขายกิจการต่างๆ ในทุกอุตสาหกรรมเพื่อให้เราร่วมเป็นหุ้นส่วนธุรกิจดังกล่าว เป็นหน้าที่และภารกิจหลักของเราที่จะตัดสินใจหลีกเลี่ยงและ ‘ปฏิเสธ’ คำเสนอขายเหล่านั้นหากเรายังไม่มั่นใจและเข้าใจธุรกิจนั้นดีเพียงพอ
 
 ท่าที่สาม ลงทุนแบบไม่เคยประเมินมูลค่า การประเมินมูลค่าหุ้นแต่ละวิธีล้วนมีข้อดี ข้อเสีย เนื่องจากมีตัวเลขจากการคาดการณ์มาใช้ในการคำนวณ จึงเป็นเรื่องที่ยากที่จะประเมินมูลค่าหุ้นได้อย่างถูกต้องแม่นยำ อย่างไรก็ตามนักลงทุนยังจำเป็นต้องประเมินมูลค่ากิจการโดยอาจใช้วิธีที่ตนถนัดและเหมาะสมกับแต่ละอุตสาหกรรม ทั้งนี้เพื่อที่จะได้ทราบคร่าวๆ ถึงช่วงราคาที่ถูก ที่เหมาะสม หรือที่แพงของแต่ละกิจการที่เราสนใจ
   ช่วงระดับราคาที่ได้จากการประเมินจะช่วยให้เราตัดสินใจลงทุนซื้อหุ้นในช่วงราคาที่ถูกและมีส่วนต่างความปลอดภัย (Margin of Safety) และหลีกเลี่ยงการเข้าซื้อหุ้นในช่วงราคาที่แพง ซึ่งจะทำให้เกิดความเสียหายจากการลงทุนได้
 
 ท่าที่สี่ ลงทุนแบบซื้อขายบ่อยเกินไป แม้นักลงทุนแต่ละคนจะมีหลักการ หรือเงื่อนไขในการซื้อขายหุ้นแตกต่างกัน แต่สำหรับนักลงทุนเน้นคุณค่านั้นมักมีธุรกรรมซื้อขายหุ้นหากพบว่า พื้นฐานของกิจการเปลี่ยนแปลงส่งผลกระทบต่อผลประกอบการอย่างถาวร ราคาหุ้นสูงเกินปัจจัยพื้นฐาน หรือเมื่อพบกิจการกิจการที่ยอดเยี่ยมกว่าในราคาที่มีส่วนต่างความปลอดภัยสูงกว่า

   ข้อเสียของการซื้อขายบ่อยครั้งคือ ค่าคอมมิชชั่นซึ่งอาจทำให้ผลตอบแทนโดยรวมต่ำลง แม้ไม่มีข้อพิสูจน์แน่ชัดถึงความสัมพันธ์ระหว่างความถี่ในการซื้อขายกับผลตอบแทนการลงทุน แต่หากต้องติดตามภาวะตลาดอย่างใกล้ชิด ต้องสูญเสียเวลาและขาดสมาธิในแต่ละวัน และอาจมีอารมณ์แปรปรวนตามภาวะตลาดแล้ว น่าจะถือว่าเป็นการขาดทุนทางอ้อมอย่างหนึ่ง
   
ท่าที่ห้า ลงทุนแบบไม่กระจายความเสี่ยง นักลงทุนควรพิจารณาลงทุนหุ้น 4-8 ตัวเพื่อการบริหารความเสี่ยงและเผื่อความไม่แน่นอนทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง หรือภัยธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้น แม้จะมั่นใจในปัจจัยพื้นฐานของกิจการและการวิเคราะห์ของตน แต่การถือหุ้นเพียง 1-2 ตัวก็เป็นการเสี่ยงเกินไปหากมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น นักลงทุนต้องพึงระลึกไว้เสมอว่า “อะไรก็เกิดขึ้นได้ในตลาดหุ้น” นักลงทุนที่ประสบการณ์ไม่มากนักจึงควรหลีกเลี่ยง ‘ท่ายาก’ นี้เช่นกัน

   การถือหุ้นจำนวนมากเกินไปแม้จะช่วยกระจายความเสี่ยง แต่อาจทำให้ผลตอบแทนโดยรวมลดลง นอกจากนี้ การถือหุ้น 15-20 ตัวขึ้นไป อาจทำให้ไม่มีเวลาศึกษารายละเอียดและติดตามกิจการอย่างใกล้ชิด ซึ่งกลายเป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่งด้วย

   ในตอนหน้า เราจะดูกันว่าอีก 5 ท่ายากที่เหลือมีอะไรบ้าง โปรดติดตามนะครับ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #1 เมื่อ: ตุลาคม 22, 2013, 10:06:44 AM »




10 ท่ายาก การลงทุน (2/2)

จากตอนที่แล้ว ได้กล่าวถึง 5 ท่ายากของการลงทุน ได้แก่ ท่าแรก ลงทุนแบบไม่มีหลักการลงทุน ท่าที่สอง ลงทุนเกินขอบข่ายความรู้ ท่าที่สาม ลงทุนแบบไม่เคยประเมินมูลค่า ท่าที่สี่ ลงทุนแบบซื้อขายบ่อยเกินไป และท่าที่ห้า ลงทุนแบบไม่กระจายความเสี่ยง บทความนี้จะกล่าวถึงอีก 5 ท่ายากที่เหลือ มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง

   ท่าที่หก การตัดสินใจซื้อขายจากการคาดเดาภาวะตลาด ในโลกการลงทุน ไม่มีใครสามารถคาดเดาการขึ้นลงของหุ้นได้อย่างถูกต้องแม่นยำ หากมีการติดตามผลจะพบว่ามีทั้งถูกและผิดเสมอแม้การคาดการณ์นั้นจะมาจากนักวิเคราะห์ที่มีความเชี่ยวชาญหรือผู้ประสบการณ์ลงทุนอย่างยาวนานก็ตาม  เราจึงพบเห็นปรากฏการณ์ทั้ง Sell on Fact หรือ Buy on Fact ราคาหุ้นขึ้นแม้ผลประกอบการแย่หรือราคาหุ้นลงแม้ผลประกอบการดี หุ้นไทยขึ้นสวนทางตลาดต่างประเทศหรือบางครั้งไปในทิศทางเดียวกัน

   ในระยะสั้น ราคาหุ้นมักอ่อนไหวขึ้นลงตามปัจจัยภายนอกและอารมณ์นักลงทุนที่แปรปรวนรายวัน วิธีเลี่ยงหนึ่งคือ การเลือกลงทุนในกิจการที่สามารถคาดได้ว่าจะมีผลประกอบการดีขึ้นในระยะยาว ซึ่งราคาหุ้นจะต้องสะท้อนผลประกอบการนั้นในที่สุด

   ท่าที่เจ็ด ไม่มีความอดทนเพียงพอ ความอดทนเป็นคุณสมบัติสำคัญอย่างหนึ่งของนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ยามภาวะหุ้นขึ้น นักลงทุนส่วนใหญ่มักตัดสินเข้าซื้อหุ้นโดยไม่อดทนรอราคาที่เหมาะสม ส่วนในยามภาวะตลาดย่ำแย่ นักลงทุนก็ต้องอดทนเห็นหุ้นของตนราคาลดลงให้ได้ และควรต้องพิจารณาซื้อเพิ่มหากยังเป็นกิจการที่ยอดเยี่ยมที่มีส่วนต่างความปลอดภัยเพิ่มขึ้น นักลงทุนต้องพึงระลึกไว้เสมอว่า มีโอกาสที่ดีเสมอในตลาดหุ้นสำหรับผุ้ที่มีความอดทน

   โอกาสเดียวที่จะทำกำไรจากการไล่ซื้อหุ้นในราคาสูงคือ ราคาหุ้นจะต้องขึ้นสูงเพิ่มไปอีก แต่หากปัจจัยพื้นฐานหรือผลประกอบการไม่ได้โดดเด่นมากนัก แม้ราคาหุ้นจะขึ้นต่อไปอีกแต่อาจจะไม่สามารถรักษาระดับราคานั้นได้ วิธีเลี่ยงคือการออกห่างตลาดยามหุ้นขึ้น และติดตามตลาดอย่างใกล้ชิดเพื่อเข้าซื้อหุ้นที่ศึกษามาอย่างดีในราคาเหมาะสมยามตลาดหุ้นลงนั่นเอง

   ท่าที่แปด ลงทุนด้วยมาร์จิ้นหรือซอร์ตเซล การลงทุนด้วยวิธีดังกล่าวแม้จะทำให้มีโอกาสสร้างผลตอบแทนเพิ่มขึ้น แต่นับว่าเป็นท่ายากท่าหนึ่งเลยทีเดียว เพราะนักลงทุนจำเป็นต้องเข้าใจ มีความเชี่ยวชาญ มีจิตวิทยาการลงทุนดี ไม่หวั่นไหวหากราคาหุ้นไม่เป็นไปดังคาด และต้องติดตามราคาซื้อขายอย่างใกล้ชิด นอกจากนั้น การเลือกใช้ท่ายากนี้ยังมีต้นทุนธุรกรรมแฝงอยู่อีกด้วย

   คำแนะนำในการหลีกเลี่ยงท่ายากนี้และยังได้เพิ่มผลตอบแทนคือ การให้ยืมหุ้นเพื่อซอร์ตเซลในกรณีที่ถือหุ้นเต็มพอร์ต แม้จะได้ดอกเบี้ยรายวันในอัตรา 3-5% ต่อปีแต่ก็ดีกว่าถือหุ้นไว้เฉยๆ ส่วนนักลงทุนที่ถือเงินสดเต็มพอร์ต ควรพิจารณานำเงินสดนั้นลงทุนใน Money Market Funds ระยะสั้นที่ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝากออมทรัพย์
   
ท่าที่เก้า ลงทุนในธุรกิจสวนกระแสแนวโน้มใหญ่ (mega trend) เป็นอีกท่ายากหนึ่งหากลงทุนในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่สวนกระแสและยังคาดหวังให้ผลประกอบการโดดเด่นเพื่อผลตอบแทนการลงทุนที่ดี แนวโน้มใหญ่ส่วนมากนั้นมักเกิดขึ้นก่อนในต่างประเทศ นักลงทุนสามารถเรียนรู้ถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อธุรกิจและราคาหุ้นจากกรณีศึกษาเหล่านั้นด้วย

   หากถือหุ้นที่อยู่ในธุรกิจดังกล่าว นักลงทุนควรพิจารณาขายหุ้นให้เร็วที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายที่อาจเพิ่มขึ้น เพราะหากนักลงทุนส่วนใหญ่คาดว่าธุรกิจต้องได้รับผลกระทบมากขึ้นจากแนวโน้มใหญ่ ราคาหุ้นจะต้องปรับตัวลงอีก อย่างไรก็ตามแม้ราคาหุ้นจะลดลงจนต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน ปัจจัยบวกเดียวที่จะทำให้ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นบ้างคือราคาหุ้นนั้นถูกเกินไปนั่นเอง

   ท่าที่สิบ ลงทุนแบบหวังผลเลิศ ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นต่อเนื่องและสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุนในหลายปีที่ผ่านมา นักลงทุนคุ้นเคยกับการซื้อถูกขายแพง อย่างไรก็ตาม การตั้งความหวังที่จะได้ผลตอบแทนสูงเช่นเดิมนั้น นอกจากจะเป็นท่ายากแล้ว ยังอาจเป็น “กับดัก” ให้นักลงทุนยอมรับความเสี่ยงเพิ่มขึ้นด้วยการเล่นท่ายากอื่นหากผลตอบแทนไม่เป็นดังคาดอีกด้วย

   มีสามปัจจัยสำคัญในการคำนวณผลตอบแทนทบต้น ได้แก่ อัตราผลตอบแทนต่อปีทบต้น เงินลงทุน และระยะเวลาลงทุน การคาดหวังผลตอบแทน 12-15% ต่อปีถือว่าเป็นเป้าหมายที่ท้าทายแต่ปฏิบัติได้จริง วิธีหลีกเลี่ยงท่ายากนี้คือ การเพิ่มความสำคัญอีกสองปัจจัยที่เหลือ โดยปัจจัยที่เพิ่มง่ายที่สุดคือ การเพิ่มระยะเวลาลงทุน ที่สนับสนุนคำพูดที่ว่า “เริ่มก่อนได้เปรียบ” นั่นเอง

   การลงทุนในตลาดหุ้นเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ จะว่ายากก็ยาก ง่ายก็ง่าย ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว ไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ทั้งหมด การรู้ทฤษฏีเหมือนกันก็ไม่อาจปฏิบัติให้ได้ผลลัพธ์เช่นเดียวกัน   ในฐานะ Value Investor จึงควรประเมินและหลีกเลี่ยงท่ายากในการลงทุนของตนให้มากที่สุด หากเป็นไปได้ก็เลือกเฉพาะท่าง่ายสำหรับตนเองที่เข้าข่าย KISS – Keep It Simple Stupid เพื่อความสุขและสบายใจตลอดการเดินทางบนถนนการลงทุนสายนี้
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #2 เมื่อ: ตุลาคม 22, 2013, 10:10:31 AM »

คัมภีร์นักลงทุนหน้าใหม่

ตอนผมเริ่มต้นชีวิตนักลงทุนใหม่ๆเคยฝันว่าอยากจะมี “เซียนหุ้น” เก่งๆคอยให้คำแนะนำ คล้ายๆกับนักกีฬาที่ต้องการโค้ช มาคอยช่วยให้คำแนะนำในการฝึก คอยบอกเราว่าต้องระวังอะไร ต้องศึกษาเรื่องอะไร และอะไรเป็นปัจจัยของความสำเร็จในอาชีพของเรา

วันนี้ผมโชคดีที่ได้รู้จักกับอาจารย์ นักลงทุนรุ่นพี่ รุ่นน้องเก่งๆหลายท่านที่คอยให้คำแนะนำอันมีคุณค่ากับผม ทุกครั้งที่มีโอกาสผมก็จะถ่ายทอดความรู้เหล่านั้นให้กับคนที่สนใจเรียนรู้ แต่ก็ได้เพียงแค่คนหยิบมือเดียวเท่านั้น แถมหลายครั้งก็อาจจะไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ผมก็เลยสรุปแนวคิดจากประสบการณ์ส่วนตัวและที่รับการถ่ายทอดมาให้ออกมาเป็น “คู่มือสำหรับผู้เริ่มต้นการลงทุน” และหวังว่าคำแนะนำที่ผมเคยอยากได้มากๆตอนเริ่มต้นเส้นทางลงทุนนี้ จะถูกถ่ายทอดให้คนไทยได้อ่านมากที่สุด เท่าที่จะมากได้

(ถึงแม้บทความนี้จะถูกเขียนมาเพื่อ “มือใหม่” แต่ผมเชื่อว่า “มือเก๋า” หลายๆคนน่าจะได้มุมมองและแง่คิดอะไรดีๆกลับไปครับ)

8 ข้อคิดเพื่อชีวิตการลงทุนที่ประสบความสำเร็จ

ข้อ 1: ก่อนจะเริ่มลงทุน เราต้องมีทักษะในการบริหารเงินที่ดีก่อน

ก่อนที่จะถามว่า “ซื้อหุ้นตัวไหนดี?” เราควรจะตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่า

   ตอน นี้เรามีเงินเก็บเท่าไหร่? ที่ผ่านมาเก็บเงินได้เดือนละกี่บาท? สองคำถามนี้จะตรวจสอบว่าวินัยในการออมของเราเป็นอย่างไร ผมแนะนำให้แยกบัญชีที่ใช้ในการลงทุนออกมาต่างหาก (ห้ามถอนเด็ดขาด) และโอนเงินเข้าบัญชีนั้นด้วยระบบอัตโนมัติทุกๆเดือน ทำอย่างนี้จะช่วยให้เราสามารถตรวจสอบผลการดำเนินงานของเราได้ง่าย และเป็นการสร้างนิสัยในการออมที่มีประโยชน์มากๆในระยะยาว

   การลงทุน มีความหมายต่อเราอย่างไร? เพื่ออิสระทางการเงิน? เพื่อที่จะได้ลาออกจากงานที่ “ไม่ชอบ” ไปทำงานที่ “รัก”? เพื่อที่จะมีเวลาให้ครอบครัวมากขึ้น? เหตุผลที่คุณค่าเพียงพอจะทำให้เราทุ่มเทและมุ่งมั่นมากขึ้น

   เป้า หมายในการลงทุนคืออะไร? เขียนออกมาให้ชัดเจนพร้อมทั้งกำหนดเงื่อนเวลา เป้าหมายที่ท้าทายจะทำให้เรามุ่งมั่นและสนุกกับการเดินทางมากขึ้น อาจารย์นิเวศน์เคยตั้งเป้าไว้ว่าจะมีเงิน 1,000 ล้านก่อนอายุ 70 ปีแต่สามารถบรรลุเป้าหมายได้ก่อนเกือบ 10 ปี สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าเราไม่มีเป้าหมายที่ดี

   เรามีความ รู้ความเข้าใจในการลงทุนมากน้อยแค่ไหน? มีเวลาในการดูแลจัดการเงินของเราแค่ไหน? เรายอมรับความเสี่ยงได้มากหรือน้อย? สามคำถามนี้จะกำหนดแนวทางในการลงทุนของเรา ถ้าเรายังไม่ค่อยเข้าใจการลงทุนเท่าไหร่ การเริ่มต้นด้วยเงินน้อยๆอาจจะเป็นกลยุทธ์ที่ดีกว่า ถ้าเราไม่มีเวลาการซื้อกองทุนรวมอาจจะเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า

คำถาม เหล่านี้จะช่วยปูพื้นฐานในการลงทุนให้เรา การเริ่มต้นลงทุนโดยไม่มีการบริหารเงินที่ดีเปรียบเสมือนกับการสร้างบ้านโดย ไม่ได้ตอกเสาเข็ม ปีแรกๆอาจจะยังดูดี แต่ถ้าเกิดมีปัญหาขึ้นมาจะแก้ไขได้ยากมากครับ (ถ้าบ้านไม่พังครืนไปซะก่อน)

ข้อ 2: มีทัศนคติเกี่ยวกับการลงทุนที่ถูกต้อง

ผมขอรวบรวมหลักคิดที่เป็นประโยชน์เท่าที่พอนึกออกให้อ่านครับ

   ”การ ซื้อหุ้น” ไม่ต่างอะไรกับการ “ร่วมลงทุน” กับเพื่อนหรือญาติของเรา เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราควรให้ความสนใจไม่ใช่แค่ราคา แต่เป็นการเติบโต (และความสม่ำเสมอ) ของผลตอบแทนที่ได้รับจากธุรกิจนั้นๆ

   การคาดเดาตลาดของตลาดเป็นสิ่งที่ทำเงินได้ยาก และการหาเงินจากการคาดเดานั้นทำได้ยากกว่า

   การซื้อขายหุ้นบ่อยๆอาจจะทำให้ผลตอบแทนในการลงทุนลดลงได้อย่างมีนัยสำคัญ
   การลงทุนไม่ใช่การว่ิงแข่ง 100 เมตรแต่เป็นการวิ่งมาราธอน
   สิ่งที่คนส่วนมากทำไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเสมอไป

   ราคาหุ้นอาจจะผันผวนไปตามอารมณ์ของตลาดได้ในระยะสั้น แต่สุดท้ายแล้วราคาหุ้นในระยะยาวจะสะท้อนผลประกอบการของธุรกิจ

   การซื้อหุ้นตามเซียนไม่ได้ทำให้คุณเป็น “เซียนหุ้น”
   ”ซื้อตัวไหน?” ไม่สำคัญเท่า “ซื้อเพราะอะไร?”

   ”โชค” อาจจะมีผลต่อผลตอบแทนของพอร์ตในระยะสั้นๆ แต่ในระยะยาวๆ “ฝึมือ” และ “ความทุ่มเท” จะกำหนดชะตาชีวิตของคุณ

ข้อ 3: เข้าใจหลักของดอกเบี้ยทบต้น

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เคยบอกไว้ว่า “ดอกเบี้ยทบต้นเป็นสิ่งมหัศจรรย์ลำดับที่ 8 ของโลก” ถ้าเราอยากจะใช้ประโยชน์จากดอกเบี้ยทบต้น เราต้องเข้าใจก่อนว่าปัจจัยที่จะมีผลต่อมูลค่าของเงินเราในอนาคตมี 3 ข้อ 1. จำนวนเงินที่เรานำมาลงทุน 2. อัตราผลตอบแทน และ 3. ระยะเวลาการลงทุน นักลงทุนทั่วไปมักจะให้ความสนใจว่าพอร์ตใหญ่แค่ไหน หรือจะได้กำไรปีละกี่เปอร์เซ็นต์ แต่จะไม่ค่อยให้ความสำคัญกับระยะเวลาที่ใช้ในการลงทุนเท่าไหร่นัก นักลงทุนที่เก่งจะสามารถใช้เวลาเป็น “ตัวช่วย” ให้พอร์ตเติบโตได้โดยการเลือกลงทุนในธุรกิจที่สามารถรักษาความแข็งแกร่งได้ ในระยะยาวๆ

ข้อ 4: ต้องเข้าใจธุรกิจที่จะลงทุนอย่างถ่องแท้

บัฟเฟต์ เคยกล่าวไว้ว่า “การเป็นนักธุรกิจที่เก่งจะช่วยให้เราเป็นนักลงทุนที่ดีขึ้นได้” ฉะนั้นนักลงทุนหน้าใหม่คนไหนอยากจะประสบความสำเร็จในฐานะนักลงทุนต้องสามารถ วิเคราะห์กิจการที่เราสนใจให้เหมือนเถ้าแก่ที่กำลังจะลงทุนซื้อธุรกิจ เราต้องมองให้ออกว่าธุรกิจที่เราสนใจอยู่มีรายได้จากไหน? ต้นทุนในการดำเนินงานมาจากอะไร? การแข่งขันเป็นยังไง? มีอะไรที่เราต้องกังวลบ้าง? อะไรคือจุดแข็งหรือจุดอ่อนของธุรกิจ? โอกาสในการเติบโตของธุรกิจอยู่ที่ตรงไหน? จะบริหารเงินสดอย่างไร? จะต้องลงทุนอะไรบ้าง?

การซื้อหุ้นโดยไม่วิเคราะห์ธุรกิจให้ถ่องแท้ก็ เหมือนกับการซื้อบ้านโดยดูแค่ราคา การลงทุนก็ไม่ต่างกันอย่างที่ เบน เกรแฮม อาจารย์ของบัฟเฟต์เคยกล่าวไว้ “ราคาคือส่ิงที่คุณจ่าย คุณค่าคือสิ่งที่คุณได้รับ”

ข้อ 5: ต้องเข้าใจเครื่องมือในการวิเคราะห์ทางการเงินก่อนนำมาใช้

การ เข้าใจเครื่องมือเหล่านี้อย่างครึ่งๆกลางๆอาจจะทำให้เราประสบกับปัญหาได้ ตัวอย่างเช่น P/E หรือ อัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น เราต้องเข้าใจว่า P/E ต่ำไม่ได้แปลว่าดีกว่าเสมอไป เราต้องรู้ว่า “กำไรต่อหุ้น” นั้นมีที่มายังไง (ย้อนหลังหรือปีปัจจุบัน เป็นกำไรพิเศษหรือกำไรจากการดำเนินงาน) และปัจจัยใดบ้างที่จะมีผลต่อค่า P/E เหล่านั้น สิ่งเหล่านี้เป็นอะไรที่ซับซ้อนและอาจจะใช้เวลาในการเรียนรู้ซักระยะ แต่ถ้าอยากจะเรียนทางลัดการเข้าอบรมหรือการหาหนังสือดีๆมาอ่านก็จะช่วยได้ ผมอยากให้คอยถามตัวเองทุกครั้งก่อนนำตัวเลขทางการเงินไปใช้ว่า “ตัวเลขนี้จริงๆแล้วคืออะไร?” “มีอะไรซ่อนอยู่ในตัวเลขนี้รึเปล่า?”  “ปัจจัยอะไรบ้างที่มีผลต่อตัวเลขเหล่านี้?”

ข้อ 6: ต้องรู้จักเรียนรู้และพัฒนาตัวเองตลอดเวลา

พี่ Web พรชัยเคยพูดไว้ว่า “ถ้าไม่อ่าน ถ้าไม่ศึกษา ออกจากตลาดไปเลยดีกว่า” ผมว่าคำพูดนี้ไม่ได้กล่าวเกินจริงเลย เพราะถ้าเราสังเกตดูนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จเกือบทุกคนมีนิสัยเป็นนักอ่านตัวยงทั้งนั้น บัฟเฟต์ ปีเตอร์ ลินช์ เกรแฮม ดร.นิเวศน์ การที่คนเหล่านี้อ่านเยอะก็เพราะเค้าเชื่อว่า “ข้อมูลคือขุมทรัพย์” หน้าที่หลักของนักลงทุนคือการตัดสินใจ และการมีฐานความรู้ที่กว้างและลึกจะช่วยให้เราสามารถตัดสินใจได้ถูกต้องมาก ขึ้นในระยะยาว

ข้อ 7: ฝึกการควบคุมตนเอง

เนื่องจาก การซื้อขายหุ้นทำได้ง่ายมาก การควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ไม่ไปทำอะไรที่ไม่ควรทำจะมีประโยชน์อย่างมาก การจด Investment Diary (จดบันทึกการลงทุนของเรา ว่าลงทุนตัวไหน เมื่อไหร่ เพราอะไร) การไม่ตามข่าวตามตลาดจนบ่อยเกินไป และการนั่งสมาธิเป็นประจำก็จะช่วยให้เราแยกแยะ “อารมณ์” ออกจาก “เหตุผล” ได้ง่ายขึ้น

(พี่คนขายของเคยแนะนำว่าการนั่งสมาธิวันละ 5 นาทีจะทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนดีขึ้น ผมนำมาลองใช้ดูแล้วพบว่านอกจากจะทำให้เรา “นิ่ง” ขึ้นแล้วยังช่วยให้เราเครียดน้อยลง มีความสุขกับสิ่งรอบตัวได้ง่ายขึ้นด้วยครับ)

ข้อ 8: มีความสุขในการลงทุน

ผม เชื่อว่าถ้าเราได้ทำในสิ่งที่รัก (ฉันทะ หรือ Passion) เราก็จะทำมันอย่างเต็มที่ ตั้งใจ และก็จะทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาดีขึ้น การลงทุนก็ไม่ต่างกัน จะทำผลตอบแทนให้ดีต้องมีความสุขกับการลงทุน แต่นักลงทุนหลายคนกลับมองเพียงว่าจะหาเงินให้ได้เยอะๆอย่างไร แต่สุดท้ายก็ต้องมานั่งเครียดจนไม่มีอันจะกินทุกครั้งเวลาหุ้นที่ซื้อไว้ ปรับตัวลง
 ความสุขจากการลงทุนเกิดจากการที่เรามี “แนวทางในการลงทุน” ที่เหมาะกับตัวเรา บางคนชอบความตื่นเต้นเร้าใจก็จะชอบซื้อๆขายๆ บางคนชอบความมั่นคงอาจจะชอบลงทุนในกิจการที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง การได้ลงทุนในแนวทางที่เหมาะกับตัวเองจะช่วยให้เครียดน้อยลง ทำผลงานได้ดีขึ้น และที่สำคัญที่สุด จะทำให้เรามีความสุขในชีวิตมากขึ้น
 สุดท้ายแล้วที่เราอยากมีเงินเยอะๆก็เพราะอยากจะมีความสุขไม่ใช่เหรอครับ?

ถ้าใครอ่านแล้วคิดว่าบทความนี้เป็นประโยชน์ผมก็อยากให้ช่วยกันแชร์ ช่วยกันแบ่งปันให้เพื่อนๆที่สนใจการลงทุนครับ ถ้าใครมีข้อสงสัยอะไรก็โพสถามได้นะครับ ถ้านักลงทุนท่านไหนอยากจะแบ่งปันไอเดียดีๆให้กับน้องๆมือใหม่ในวงการก็เรียน เชิญครับ ถือว่าช่วยๆกันครับ ขอบคุณมากๆครับ


http://thaivi.org/
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #3 เมื่อ: ตุลาคม 29, 2013, 07:23:08 AM »

นิทานเรื่องจริง ตำนานการลวง หลอกล่อ ลงหม้อตุ๋น · 2,758 คนถูกใจสิ่งนี้17 ตุลาคม


เรื่องจิกโก๋ปากซอย

ตอนที่1 กำเนิดจิกโก๋
ตอนที่1/1
เคยสงสัยกันบ้างไหมว่า ทำไมบ้านเมืองเราถึงเละขนาดนี้ ทั้ง เศรษฐกิจ การเมือง
การศึกษา และสังคม
เรารู้จักบ้านเมืองของเรา แบบมักง่าย ผ่านมุมมอง และความคิดของสื่อ ทั้งสื่อไทย และสื่อเทศ
สื่อส่วนใหญ่ ให้ข้อมูลข่าวสาร แบบฟอกย้อม จะโดยตั้งใจเพราะมีใบสั่ง หรือเพราะสมรรถนะต่ำถึงต่ำมาก แทบทั้งนั้น
ข้อมูลอีกหลายส่วน ก็มาจากนักวิชาการ ที่ไม่ต่างกับสื่อ ถ้าไม่ขายตัว ก็ อธิบายแบบท่องจำ จอแคบจอแบนไม่มีมิติ มองมุมเดียว เพราะมันง่ายดี แล้วเราจะได้ความรู้ ความเข้าใจแบบไหนกัน นี่ยังไม่นับข้อมูลที่เกิดจาก การตอแหลของนักการเมือง และบรรดาข้าราชการ ที่ทำหน้าที่ขี้ข้านักการเมือง ซึ่งขอใช้คำว่า บัดซบ จึงจะตรงกับพฤติกรรม
เมื่อเราไม่รู้ปัญหาที่แท้จริง ก็ไม่มีความเข้าใจ แล้วจะหาทางออก จะแก้ปัญหาได้อย่างไร ยิ่งแก้ก็เลยยิ่งเละเหมือนลิงแก้แห

ทำไม เราไม่มาทำความเข้าใจ ทำความรู้จักปัญหาของบ้านเมืองอย่างจริงจังก่อน ด้วยการศึกษาขวยขวายด้วยตัวเอง ไม่ใช่แค่อาศัยฟังแต่จากสื่อจอแคบ คำโกหกนักการเมือง หรือนักวิชาการประเภทมีความรู้ เกิน ๆ ขาด ๆ

จะเข้าใจปัจจุบัน ก็ต้องรู้จักอดีต หรือประวัติศาสตร์ก่อน ไม่งั้นจะรู้ได้ไง ว่าต้นไม้ต้นไหนออกลูกเป็นพิษ แล้วก็อย่าทำตัวเป็นม้าแข่ง มองเห็นแต่ลู่วิ่งข้างหน้า หัดมองรอบตัว รู้จักเพื่อนบ้าน รู้จักโลกบ้าง ไม่ใช่จะมีแต่ เธอ ฉัน ลูกเรา และน้ำเน่าในทีวีเท่านั้น



ตอนที่1/2
ก่อนอื่นควรรู้จักโลกกว้างเสียก่อน ประเทศไทยไม่ใช่ตั้งอยู่โดด ๆ ประเทศเดียวนะ มีเพื่อนบ้านร่วมทวีป ร่วมโลกเยอะแยะ จะอยู่บ้านให้สบายใจต้องรู้จักว่าใครเป็นใครในซอย มีจิกโก๋ยืนเบ่งอยู่ปากซอยหรือเปล่า ถ้ามี ต้องรู้ว่ามันเป็นใคร ฝีไม้ลายมือแค่ไหน ของจริง หรือ ราคาคุย

งั้นเริ่มต้นมารู้จักจิกโก๋ปากซอยซะหน่อยดีไหม รู้จักแล้ว จะได้รู้ว่าเราจะอยู่บ้านในซอยนี้อย่างไร ควรดูแลบ้านเราอย่างไร หรือ ควรจัดการอย่างไรกับจิกโก๋

และควบคู่กับการรู้จักโลกกว้าง ต้องรู้จักปรัชญาการครองโลก ไม่ว่าโดยใคร และสมัยไหน เสียก่อน จำให้แม่น ถ้าเข้าใจปรัชญานี้ การติดตามอ่านนิทานนี้ หรือ ตามความเป็นไปของโลกนี้ ประเทศนี้และทุกอย่างที่รอบตัวเรามันจะง่ายขึ้น

คาถาในการอ่านนิทานนี้ให้สนุก ต้องจำให้ได้ว่า "อำนาจ คือ ทุน" และ
"ทุน คือ อำนาจ" หรือ " ความมั่นคง นำมาซึ่ง ความมั่งคั่ง" และ
"ความมั่งคั่ง ก็นำมา ซึ่งความมั่นคง" เช่นเดียวกัน จำให้แม่น!


ตอนที่1/3
สงครามโลกครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นเพราะอะไร ประวัติศาสตร์ที่เขาเขียนให้เราเรียน สมัยเป็นนักเรียน เขาก็เขียนให้เราเข้าใจไปว่า มันเป็นเรื่องของการแผ่อำนาจของประเทศผู้รุกราน และประเทศผู้ถูกรุกรานก็จำต้องสู้ หรือเข้าสู่สงคราม เพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศตน แต่แท้จริงแล้วเป็นเช่นนั้นหรือ กลับไปดูคาถาข้างต้นอีก 10 เที่ยว แล้วจะเข้าใจประวัติศาสตร์ ในมุมมองใหม่

สงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2482 (ค.ศ. 1934) จบเอาปี พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) รวมเวลา 6 ปี ตลอดเวลาการสู้รบ ใช้ทวีปยุโรปและเอเซียเป็นสนามประลอง กำลัง ดังนั้นเสร็จสงคราม ฝ่ายผู้แพ้สงครามเช่น เยอรมันและญี่ปุ่นนั้น ถูกน๊อคคาสนามบอบช้ำ ฉ.ห ตามประสาผู้แพ้ ฝ่ายสัมพันธมิตรผู้ชนะ เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส ยุโรป รัสเซีย และแม้แต่จีน ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ยับ แต่ถึงกับเยิน ดูไม่จืด ยืนพิงเชือกเกือบนับ 10 เหมือนกัน มีแต่สหรัฐอเมริกาเท่านั้นที่โดนแค่ สอยคาง เรือรบล่มไม่กี่ลำ ที Pearl Harbor ฮาวาย ส่วนทวีปอเมริกาปลอดภัย ไม่มีฟกไม่มีช้ำ แค่นี้ทำเป็นยัวะ ถือโอกาสประกาศสงครามกับญี่ปุ่น เข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร (โอกาสทองมาแล้ว) เมื่อชนะสงครามอเมริกาจึงสถาปนาตนเองเป็นจิกโก๋คุมซอย เป็นพี่เบิ้มดูแลโลกทั้งใบ มันเขาล่ะ (จิกโก๋ปากซอย!)


ตอนที่1/4
จากการทำสงครามโลก เศรษฐกิจของแต่ละประเทศก็ตกต่ำล่มจม ความแตกต่างทางสังคมเห็นชัดขึ้น เกิดช่องว่างระหว่างคนรวยคนจนชัดเจน ไม่ต้องเอาแว่นมาส่อง ระบอบคอมมิวนิสต์จึงเริ่มก่อตัวขึ้น แถวรัสเซียและยุโรปตะวันออก เมื่อปี พ.ศ. 2490 (ค.ศ. 1947)

อเมริกาในฐานะพี่เบิ้มจึงกำหนดยุทธศาสตร์ปิดล้อม (Containment) ขึ้นมาและประกาศเป็นนโยบาย เรียกว่า Truman Doctrine โดยประธานาธิบดี Harry S Truman (เคยดูหนังประวัติของแกไหม ดื้อและม !) เป้าหมายของยุทธศสาตร์นี้ หลักใหญ่มี 2 เรื่อง คือสร้างความมั่นคงและมั่งคั่งให้กับอเมริกาและพวก โดยกันไม่ให้สหภาพโซเวียตเสนอหน้าเข้ามาสู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจโลก เห็นธาตุแท้พี่เบิ้มหรือยัง ร่วมรบกันมาดี ๆ พอถึงเวลาไม่เป็นประชาธิปไตยตามที่ต้องการก็เหม็นหน้า อย่ามาเสนอหน้านะ เดี๋ยวจะทำให้คนอื่นเขาติดโรคหมด

Truman Doctrine นี้ อเมริกาจะใช้คนเดียวก็กลัวเหงา เลยจับประเทศแถวยุโรปมาเข้าร่วมโดย จัดตั้งเป็นองค์กร NATO ขึ้นมา ปัจจุบันมีทั้งหมด 28 ประเทศ กลุ่มประเทศที่ก่อตั้งและ/หรือ เป็นประเทศหลักมี อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม แคนาดา เดนมาร์ก ไอซแลนด์ อิตาลี เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ กรีซ ตุรกี และ เยอรมัน อเมริกาใช้ NATO เป็นขนมล่อยุโรปให้ผูกติดอยู่กับอเมริกามาจนถึงทุกวันนี้ เริ่มเห็นฝีมือการแบ่งขนม แบ่งค่ายของอเมริกาหรือยัง

สูตรยอดนิยมของอเมริกา ที่ใช้มาตลอดคือ ล่อให้เหยื่อมารวมตัวกันก่อนจะได้ดูแลง่าย

โดยการสนับสนุนให้มีการรวมตัวของประชาชาติในเรื่องต่าง ๆ แต่อีกด้านอเมริกาก็จะสร้างเรื่อง โดยทางตรงหรือทางอ้อมให้การรวมตัวนั้นมีปัญหา และแตกแยกกันเอง แข่งขันกันเอง ทะเลาะกันเอง ทั้งนี้เพื่อเป็นการเพิ่มบทบาทของพี่เบิ้ม ให้เป็นที่พึ่งพา
ขึ้นเรื่อย ๆ (ต้นตำรับ value added! หรือจะเรียกให้ชัด คือสร้างภาพ)
ลองสังเกตดู
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #4 เมื่อ: ตุลาคม 29, 2013, 07:26:23 AM »

ตอนที่1/5

พร้อมกับการอ้างตัวเป็นพี่เบิ้ม อเมริกาก็เริ่มทำตัวเป็นนักล่าอาณานิคมยุคใหม่ แทนนักล่ารุ่นเก่าที่กำลังนอนเลียแผล

ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 นักล่าอาณานิคมตัวใหญ่แชมป์เก่า คือ อังกฤษ กร่างถึงขนาดประกาศว่า ดวงอาทิตย์ ไม่มีวันตกที่จักรภพอังกฤษ ตามมาติดๆคือ ฝรั่งเศส คู่แค้นของไทย กะจะขม้ำไทยมาตลอด วางแผนมาต้ังแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์ แต่ที่อุกอาจสามานย์ ทำให้ไทยเจ็บช้ำจนกรมหลวงชุมพรฯ ต้องสักพระองค์เตือนความจำไว้
ก็ในสมัยล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 เหตุการณ์ รศ 112 หวังว่ายังคงจำกันได้นะ หรือรู้จักแต่ ม112
นักล่า ที่มาเงียบๆ คอยเสียบ คอยเสี้ยม แล้วหยิบชิ้นปลามัน คือ ฮอลันดา แต่นักล่า รุ่นเก๋าจริง ๆ ต้องยกให้สเปญและโปรตุเกศ แผนลึก อดทน และใจเย็น

นักล่ายุคใหม่ไม่ต้องการครอบครองดินแดน แบบนักล่ารุ่นเก่า แต่ต้องการกอบโกยทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์ของประเทศที่อุดมทรัพยา กร แต่ ด้อยปัญญา ไม่ทันเหลี่ยมนักล่า ทรัพยากรน้ำมัน และ แร่ธาตุสาระพัด ของหลายประเทศที่ยังไม่พัฒนา โดยเฉพาะแถบอาเซีย และตะวันออกกลางยังอุดมสมบูรณ์อยู่ ในขณะที่แถวยุโรปร่อยหรอ ส่วนอเมริกานั้นยังมีอยู่แยะ แต่งุบงิบแอบเก็บไว้ไม่ให้ใครรู้

อย่าเข้าใจผิดว่าการล่าอาณานิคมยุคใหม่ จะใช้วิธียกทัพจับศึก ยึดดืนแดนกันอย่างเมื่อก่อน
รุ่นใหม่ ยุคใหม่นี่้เขาทำกันเนียน

เครื่องมือในการล่าอาณานิคมยุคใหม่เขาใช้ตามคาถายอดนิยม อำนาจ คือ ทุน และทุน คือ อำนาจ
รบชนะมาหมาด ๆ อำนาจล้นฟ้าเป็นพี่เบิ้ม จะปล่อยให้โอกาสทองหลุดมือไปยังไง ก็ต้องรีบยื่นมือยาวๆ อ้อมไปทั้งโลก โดยใช้วิธีการทั้งหลอก ทั้งล่อ ด้วยการนำเสนอระบอบทุนนิยมเสรี ระบบทุนนิยมโลก เพื่อให้มันล้อมโลกได้ โดยไร้พรมแดน คำว่าโลกาภิวัฒน์ จึงเกิดขึ้น ชอบใช้กันนัก รู้ให้ทันแล้วกันว่าโลกาภิวัฒน์ คืออะไร และเพื่อใคร


ตอนที่1/6

ทุนนิยมเสรี มันเดินไปเองได้ที่ไหน ก็ต้องหาเครื่องมือให้ทุนมันเดินไป ทั่วโลกได้ง่าย ๆ เนียน ๆ ดังนั้น หน่วยงานระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ (UN) ธนาคารโลก (World Bank) IMF WTO ฯลฯ และเหล่าบรรษัทข้ามชาติ ด้านการเงิน การค้า การอุตสาหกรรม ต่าง ๆ จึงเกิดขึ้น หน่วยงานต่าง ๆ ดังกล่าว มีพี่เบิ้มและสหายเป็นเจ้าของ หรือเป็นผู้กำกับ รู้กันไว้ด้วย

สหประชาชาติ (UN) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) จากแนวคิดของพี่เบิ้มผู้ชนะสงคราม คือ อเมริกาและอังกฤษ มีคณะมนตรีถาวร 5 ประเทศ (ไม่บอกก็น่าจะเดาออกนะ ว่าใครบ้าง
ก็ผู้ชนะสงคราม นั่นแหละ) คือ อเมริกา อังกฤษ ผรั่งเศส รัฐเซีย และจีน

ผู้ควักกระเป๋าจ่ายเงินสนันสนุนการ ดำเนินงานของ UN ก็คือสมาชิก แล้วพอเดาออกไหมว่าใครจ่ายเงิน สนับสนุน UN สูงสุด ไม่น่าตอบผิดนะ ก็พี่เบิ้มอเมริกานั่นแหละ ไม่งั้นจะเป็นจิกโก๋ปากซอยได้ยังไงกัน

ธนาคารโลก (World Bank) ก่อตั้งขึ้นพร้อมกับ IMF (International Monentary Fund) ในปี พ.ศ. 2487 (ค.ศ. 1944) แน่นอนจากแนวคิดของพี่เบิ้ม อเมริกาและอังกฤษ สำนักงานใหญ่ของทั้ง 2 องค์กร ตั้งอยู่ที่วอชิงตัน ดี ซี ของพี่เบิ้ม เงินสนับสนุนส่วนใหญ่มาจากประเทศสมาชิก แต่ผู้ที่ควักกระเป๋าหนักที่สุดก็ เหมือนเดิมคือพี่เบิ้ม อเมริกา คิดกันต่อแล้วกัน พี่เบิ้มใจดี หรือพี่เบิ้มกำลังท่องคาถา อำนาจ คือ ทุน ทุน คือ อำนาจ 555 ไปเปิดอากู (Google) ดูแล้วกัน ประธานธนาคารโลกตั้งกะก่อต้ังมา จนถึงปัจจุบัน เป็นคนสัญชาติอเมริกันทั้งหมด อืม เริ่ม เห็นภาพลาง ๆ บ้างหรือยัง คนอ่านนิทานทั้งหลาย

อันที่จริงระบบทุนนิยมมีมานานแล้ว แต่การขยายตัวทำได้ช้า เพราะต้องพึ่งการคมนาคมและการสื่อสาร ดังนั้นทุนนิยมยุคโบราณจึงเดินทางโดย เรือ รถไฟ ม้า อูฐ และ นกพิราบ (ฮา!) ก็ตอนนั้นยังไม่มีเครื่องบิน โทรเลข โทรศัพท์ มือถือ ดาวเทียม Swift 3จี 4จี Wifi ฯลฯ นี่นะ

ทุนนิยมโลกไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขตดินแดน แต่ขึ้นกับศูนย์อำนาจในแต่ละช่วงเวลาน้ัน เช่น ฮอลันดาเป็นศูนย์กลางของทุนนิยม สมัย ศตวรรษที่ 17 ก็เล่นล่าต้ังกะอินโดนีเซียยันไปถึงอาฟริกา ต่อมาศูนย์อำนาจก็อยู่ที่อังกฤษ เจ้าของคำกร่างพระอาทิตย์ไม่ตกดินที่อังกฤษ
จนมาถึงช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พี่เบิ้มอเมริกาถึงได้ขึ้นแท่นเป็น นัมเบอร์วัน ของศูนย์อำนาจ ไชโย! ตาไอแล้ว


ตอนที่1/7

อเมริกาคิดเรื่องระบบทุนนิยม และกลไก ที่จะทำให้ตนเป็นศูนย์อำนาจ มาต้ังแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2
แต่โอกาส ยังไม่อำนวย หวยมาตกก็ตอนศูนย์อำนาจเก่าๆ ฉ ห หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นี่แหละ อเมริกาถึงเสนอแผนจัดโครงสร้างระเบี ยบโลกเสียใหม่ (New World Order) โดยเน้นที่พลังทุนนิยม ก็เป็นเศรษฐีนี่ มีปัญหาไหม ไม่นิยมทุนแล้วจะให้นิยมอะไร อย่าลืม คาถา ทุน คือ อำนาจ อำนาจคือทุน ง่ายๆ ตรงไปตรงมา

ไม่ว่าจะเรียก New World Order หรือ Pax Americana ทั้งหลายทั้งปวง มันก็คือแผนการล่าอาณานิคมยุคใหม่ โดยใช้ระบบทุนนิยม นำหน้านั่นเอง เดี๋ยวก็มาถึงทุนนิยมสามานย์น่า ใจเย็นไว้โยม

ทุนจะมี ก็ต้องค้าขาย เงินไม่ได้ตกลงมาจากฟ้าเหมือนฝนนะ จะค้าขายก็ต้องมีสินค้า สินค้ามาจากไหน มาจากการผลิต การผลิตต้องมีอะไรเป็นปัจจัย ต้องมีวัตถุดิบซีจ้ะ วัตถุดิบมาจากไหน ก็มาจากทรัพยากร ทรัพยากรมาจากไหน ก็ปล้น หรือต้มเขาเอา
ซีวุ้ย แหม กว่าจะโยงมาถึง อาตมาเกือบเป็นลม

ดังนั้นนักสำรวจทรัพย์ของผู้อื่น ในคราบผู้เชี่ยวชาญ จึงเดินกันว่อน วิ่งกันพล่าน อุ๋ย ประเทศนี้ไอ จองนะ ไอจะไปดูเอง เขาน่าสงสารนะ เห็นมีแต่ช้างเดินเต็มป่า วัวควายเต็มทุ่งนา
ปี ค.ศ. 1946 สงครามโลกครั้งที่ 2 เลิกหมาด ๆ อเมริกาส่งผู้เชี่ยวชาญ มาทำการสำรวจสถานะประเทศไทยและสรุปว่า ไทยแลนด์ เป็นประเทศที่ยังมีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ และยังมีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจดี ยิ่งอย่างเหลือเชื่อ วรรคเมื่อกี้ ข้าพเจ้าเติมเอง เพราะอ่านแล้วเหลือเชื่อ นี่ขนาดบริหารกันไปทานกันไป ยังแกร่งอย่างนี้เลยนะ ถ้าต้ังอกต้ังใจบริหาร แม่อีหนูเอ๊ย ลูกหลานเราคงเรียนฟรี ถนนคงปูด้วยทองคำ
อย่างที่ อจ.ศึกฤทธิ์ว่าไว้จริง ๆ นะ

รายงานฉบับดังกล่าว ทำให้อเมริกาน้ำลายเยิ้มเมื่อมองประเทศไทย ไม่ต่างกับที่โอบามา
มองนางปูเอ๋อจิงเมื่อตอนมาสำรวจประเทศไทย เมื่อปลายปี พ.ศ. 2555 นั่นแหละ

แล้วทำอย่างไร อเมริกาจะได้กินอาหารจานอร่อยชื่อ ไทยแลนด์ แดนสวรรค์ สยามเมืองยิ้ม
ไม่ยาก อเมริกาใหญ่ผงาดมาขนาดนี้ ไม่ใช่ทำเป็นแค่ขี้ม้าไล่ยิงอินเดียนแดงออกจากถิ่นเก่าของเขานะวุ้ย



ตอนที่ 2 จิกโก๋ปากซอย สร้างวินมอไซด์
ตอนที่2/1

อเมริกาเป็นนักวางแผนตัวพ่อ อเมริกามีแผนสำหรับทุกประเทศเป้าหมาย ทุกขั้นตอน เขียนแผนอย่างละเอียด มีรายงานทุกเรื่องที่เห็นว่าสำคัญ เก็บเรื่องระบบทุนนิยมไว้ก่อน เด็กมันยังละอ่อนนัก เดี๋ยวมันตกใจ วิ่งหนีรอดตาข่าย จะกินอาหารอร่อยต้องใจเย็นๆ

แผนหมายเลข 1 สำหรับการเคี้ยวไทยของอเมริกา ตาม Pax Americana เน้นเรื่องเศรษฐกิจและความมั่นคง นำหน้า ดังนั้น ต้องเปลี่ยนประเทศไทยจากที่เป็นประเทศเกษตรกรรม เป็นประเทศอุตสาหกรรมให้ได้ก่อน เรื่องความมั่นคงอย่าเพิ่งถาม เดี๋ยวจะเห็นว่ามาอย่างไร

อเมริกาเป็นนักวางแผนที่มีจิตวิทยาสูง คนเราน่ะนะจะให้ทำอะไร มันต้องให้สบายกระเป๋าก่อน มีเงินแล้วมันถึงจะพูดกันรู้เรื่อง แหม! มันเดินตามกันเปี้ยบเลย ใครนะ ที่ใช้เงินเข้าล่อ แบบคุณพ่ออเมริกา

ดังนั้น ปี พศ 2501 อเมริกาจึงส่งผู้เชี่ยวชาญจากธนาคารโลก เป็นของขวัญให้รัฐบาลสฤษดิ์ มาเป็นทีมใหญ่ ไทยแลนด์ดีใจเหมือนได้แก้ว
กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ ทำการสำรวจประเทศไทยอย่างละเอียดถี่ถ้วน ประมาณว่าแทบจะถลกผ้านุ่งคุณยายดูยังงั้นเชียวละ
สำรวจอยู่ 1 ปีจึงเสร็จ เสร็จแล้วก็ทำรายงานสำรวจชุดใหญ่ส่งให้คุณพ่อที่อเมริกา ชุดเล็กก็เสนอให้คุณป๋าผ้าขะม้าไทย

ผลสำรวจ สรุปว่า เพื่อทดแทนการนำเข้า ที่ทำให้ไทยแลนด์ขาดดุลย์การค้า ฝรั่งบอกว่าไทยควรเปลี่ยนจากประเทศกสิกรรม ทำการเกษตร มาเป็นประเทศอุตสาหกรรม ทำการผลิตสินค้าส่งออก เขียนตามโผที่ล๊อกไว้เลย กองสลากเรายังล๊อกโผไม่ได้เท่านี้เลย ฉลาดชั่วมาก

รายงานสำรวจดังกล่าวเป็นไปตามใบสั่งคุณพ่ออเมริกา ที่ต้องการให้ประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลาย (ตอนนั้นเราก็เป็นประเทศด้อยนะ ไม่ต้องค้อน ) เปิดทางให้ทุนอเมริกัน เข้าไปลงทุนผลิตสินค้าอุตสาหกรรม นอกจากอเมริกาจะได้ประโยชน์ในการขยายการลงทุนแล้ว อเมริกาจะได้ขายเครื่องจักร และสาระพัดอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในขบวนการผลิต เช่น พลังงานไฟ้ฟ้า น้ำมัน เขื่อน อุปกรณ์ เทคนิค อุปกรณ์การขนส่ง ฯลฯ ให้ไทยอีกด้วย

สิ่งที่ไทยได้ขายคือวัตถุดิบบางอย่างที่มีในประเทศและแรงงาน แค่นั้นเอง อืมมม คุ้มแสนคุ้ม...


ตอนที่2/2

คุณป๋าไทยเมื่อได้รับรายงานสำรวจฯ ก็เนื้อเต้นไปหมด เห็นโอกาสทองทำเงินอยู่ข้างหน้า งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข คุณป๋าไทยจึงมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทันที ในปีพ.ศ. 2504 และนั่นคือกำเนิดสภาพัฒน์ฯ ที่เรารู้จัก
สภาพัฒน์ฯ ทำหน้าที่วางแผนพัฒนาเศษฐกิจประเทศไทยต้ังแต่ พ.ศ. 2504 ถึง ปัจจุบัน ตามแนวทางที่ฝรั่ง (หลอก) ให้ไทยเดิน

ควรรู้ด้วยว่า แผนพัฒนาเศษฐกิจประเทศไทย ฉบับที่ 1 ใช้รายงาน ธนาคารโลก ฉบับใบสั่งทั้งฉบับ แปลเป็นไทย ทำเป็นแผนแม่บท
ง่ายดีนะไม่ต้องเสียเวลา ไทยมีส่วนร่วมเพียงในฐานะผู้รับบัญชา ขอรับกระผม

นอกจากนี้แผนพัฒนาเศษฐกิจประเทศไทย ต้ังแต่ฉบับที่ 1 ถึง 6 เดินตามแนวทางรายงานธนาคารโลกทั้งสิ้น ปัจจุบันเป็น ฉบับที่ 11 ซึ่งก็ไม่มีแนวทางพัฒนาประเทศ ที่เหมาะสมขึ้น ซ้ำร้ายจะเละไปกว่าเดิม เพราะมีแต่จับฉ่าย

ควรรู้อีกด้วยว่า ในรายงานของ ธ โลก ไม่เน้นถึงการพัฒนาการปลูกข้าว ชึ่งเป็นสินค้าส่งออกอันดับ 1 ของไทย ตรงกันข้าม ดันมีข้อเสนอให้เก็บพรีเมี่ยมข้าว! เอ! เรื่องนี้จะต้องโยงไปถึงเรื่องการรับจำนำข้าวของรัฐบาลปูเอ๋อจิงไหมเนี่ย

พอจะเห็นกันบ้างหรือยังว่า สิ่งที่เรียกว่าแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ ของขวัญจากคุณพ่ออเมริกา แท้จริงแล้วเป็นบัวหิมะพันปีเพิ่มพลัง หรือ ยาละลายกระดูกสลายพลัง

นักล่าอาณานิคมรุ่นใหม่นี่เยี่ยมจริง ๆ

ดังนั้น การพัฒนาประเทศไทยก็เดินตามแนวที่คุณ พ่ออเมริกากำหนด หรือกำกับ ผ่านหน่วยงาน World Bank, IMF, IFC, ADB ฯลฯ ที่เราขยันกู้เขามาตลอด พอมองออกหรือยังทำไม เขาถึงต้องตั้ง World Bank IMF ฯลฯ

สัญญาเงินกู้ทุกฉบับของ World Bank, IMF , IFC จะมีข้อกำหนดบังคับเรา ตามที่คุณพ่ออเมริกา ต้องการให้โลกเดินไปในทิศทางที่คุณพ่อและพวกต้องการ คือ ทุนนิยมเสรี นั่นเอง
อเมริกาสามารถควบคุม World Bank, IMF, IFC ได้ในกำมือ เพราะอเมริกาจ่ายเงินสนับสนุนสูงที่สุดมากกว่าประเทศอื่นๆ
พูดให้ชัด World Bank, IMF, IFC ก็เด็กในกระเป๋าอเมริกานั่นแหละ!


ตอนที่2/3

การพัฒนาประเทศจะเดินตามใบสั่งของคุณพ่ออเมริกาไม่ได้ ถ้าไม่มีข้าราชการที่จูงง่าย
พร้อมเป็นขี้ข้า ไม่ว่าจะเป็นขี้ข้าฝรั่ง หรือนักการเมืองไทย เห็นๆกันอยู่ ต้ังกะสมัย 50ปีก่อน จนถึงเดี๋ยวนี้ มีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง

ข้าราชการที่มีความสามารถ แต่พร้อมที่จะถูกฝรั่งหลอกใช้ (เอ๊ะ หรือเต็มใจ!) ที่เรียกกันว่า technocrat (technocrat ต้นแบบก็อย่างนายเกษม จาติกวนิชย์ นายอานันท์ ปันยารชุน นายอำนวย วีรวรรณ นั่นแหละ) ก็เป็นผู้รับแผนคุณพ่อฝรั่งมาดำเนินการ

Technocrat เหล่านี้มาจะไหนล่ะ? อ้า! เดี๋ยวต้องหาที่มาแบบ CSI (Crime Scene Investigation สำหรับผู้ไม่ได้ดูหนัง ดูแต่ละคร นึกถึงคุณหมอพรทิพย์หัวฟูคนเก่งของเราแล้วกัน ประเภทสืบจากศพอะไรทำนองนั้นแหละ!)

Technocrat เหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นผู้จบการศึกษาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากอังกฤษและอเมริกา มีความคุ้นเคยกับระบบการศึกษา ตำรับตำรา วิชาการ ความคิด ที่ฝรั่งแป๊ะติดใส่หัวเอาไว้ตั้งแต่สมัยไปเรียนหนังสือ ท่านเหล่านั้นก็มีวิชาความรู้เพิ่มพูน ฝรั่งสอนอะไร ก็จด ฝรั่งพูดอะไร ก็จำ ทำตัวเป็นเครื่องถ่ายเอกสาร (ฮา) กลับมาก็ฟิตเปรียะ เครื่องถ่ายอัดสำเนาไว้เต็ม

คิดว่าบ้านเมืองเราจะเจริญได้ ต้องดูจากที่ฝรั่งเขาพัฒนาบ้านเมืองเขา หาได้เคยมีสมองคิดได้ว่า บ้านเขากับบ้านเราน่ะ มันต่างกันขนาดไหน

ึดูภูมิประเทศ อากาศ ทรัพยากร ความถนัด ประเพณี ฯลฯ โอ้ยสาระพัด มันเหมือนกันตรงไหน ข้างหนึ่งหัวดำตัวเหลือง อีกข้างหนึ่ง หัวทองตัวขาวเผือด ข้างหนึ่งหนาวหิมะตก ข้างหนึ่งเดี๋ยวร้อน เดี๋ยวฝนตกน้ำท่วม ยังคิดก็อบปี้ตะบี้ตะบันท่าเดียว เพราะถูกทำให้เชื่อว่า ฝรั่งนั้นฉลาดกว่าเรา สิ่งที่เขาคิด ดีกว่าที่เราคิด มันฝังหัว ตั้งกะไปเรียน prep school หรือ public school กับฝรั่งมาแล้ว

ดังนั้น เมื่อฝรั่งบอกเดินหน้าเป็นประเทศอุตสาหกรรม ทุกท่านก็ลุย! เฮ้อ! เศร้าใจ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 29, 2013, 07:30:49 AM โดย jainu » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #5 เมื่อ: ตุลาคม 29, 2013, 07:29:40 AM »

ตอนที่2/4

การพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทย เมื่อกลัดกระดุมเม็ดแรกผิด มันก็ผิดไปเรื่อย ๆ จนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังไม่แก้ไข คนอะไรเดินใส่เสื้อติดกระดุมเขย่งมาเกือบ 60 ปี ยังไม่รู้ตัว

นิคมอุตสาหกรรม จึงผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด แล้วดอกเห็ดพวกนี้ไม่รู้เป็นอะไรก็ ชอบขึ้นอยู่ตามที่ลุ่ม ซึ่งเป็นทางเดินของน้ำ ดูนิคมบางชัน นิคมแถวอยุธยา บางปะอิน เป็นตัวอย่างแล้วกัน ยิ่งนานวันดอกเห็ดก็แผ่ขยายบานกินเมืองเข้าไปลึกขวางทางไหลหลากของน้ำ ซึ่งมาประจำปี

ดังนั้น ปัญหาน้ำท่วมก็ยังจะมีอยู่ต่อไป ต้องใช้เรือดำน้ำกี่ลำ หญ้าแพรกเท่าไหร่ก็เอาไม่อยู่ ถ้ายังดันทุรังเดินใส่เสื้อกระดุมเขย่งกันอยู่อย่างนี้

นี่ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องท่าเรือแหลม ฉบัง ผาแดง แทนทาลั่ม นิคมอุตสาหกรรมระยอง โรงไฟฟ้าบ้านกรูด การวางท่อแก๊ส ฯลฯ ที่ไม่เข้ากับสภาพภูมิประเทศ และความเป็นอยู่ของท้องถิ่นนะ แค่นี้ก็น่าจะพอเห็นภาพกันแล้ว

แหล่งอุตสาหกรรมใหญ่ทั้งหลายสร้างรายได้ให้กับผู้ถือหุ้น อย่างมหาศาล คนท้องถิ่นได้แต่ค่าแรงวันละไม่กี่บาท แล้วใครเป็นผู้ถือหุ้น ก็คนต่างชาติส่วนใหญ่ บวกกับคนไทยขายชาติที่ถือหุ้นแทนฝรั่งไง คนท้องถิ่นไม่เคยเป็นผู้ถือหุ้น!

ประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อม ที่ทำกิน และที่สำคัญ สุขอนามัยของชาวบ้าน ไม่เคยเป็นปัจจัยที่ผู้ให้กู้ หรือนักลงทุนต่างชาติ ให้ความสนใจหรือห่วงใย
ผู้ให้กู้ หรือนักลงทุน ให้ความสนใจแต่ ผลผลิต และผลกำไรของพวกเขาเท่านั้น

ส่วนนักการเมืองไทย ก็นึกแต่ค่าหัวคิว ใต้โต๊ะ บนโต๊ะ ที่จะได้รับ รับแล้วเอาไปซุกไว้ที่ไหนดีหนอ หลังบ้าน ใต้เตียง ในตู้เสื้อผ้า หรือซุกไว้กับคนรถ คนใช้ ฯลฯ แล้วประเทศได้อะไร ประชาชนได้อะไร เคยมีนักการเมืองหน้าไหนดูแลเราจริงๆจังๆ บ้าง


ตอนที่ 3 ลูกคนโตพระยาพหลฯ
ตอนที่3/1

ประชาชนก็ได้แต่ฝากความหวัง ไว้กับการปกครองระบอบประชาธิปไตย ที่เราเชื่อว่าจะทำให้ประชาชนมีสิทธิ มีเสียง ในการบริหารบ้านเมือง ต้ังแต่การปฏิวัติปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี พ.ศ. 2475

ปี พ.ศ. 2475 เมื่อคณะราษฎร์ ทำการปฏิวัติฯ พระยาพหลฯ ประกาศที่ลานพระรูปว่า ต่อไปนี้ประเทศเราจะเป็นประชาธิปไตย ปกครองโดยรัฐธรรมนูญ

ชาวบ้านที่มาชุมนุมที่ลานพระรูป ได้ยินพระยาพหลฯประกาศดังนั้น ก็พากันมึน หันมามองหน้ากันเลิกลั่ก แล้วถามว่า รัฐธรรมนูญเป็นใคร ลูกคนโตของพระยาพหลฯ เหรอ
ฮาจริงๆ

แต่คิดดีๆ แล้วขำไม่ออกนะ ต่างอะไรกับที่หุ่นยนตร์ฝังชิพรุ่นทุนนิยมสมัยนี้ ที่ร้องเรียกหาประชาธิปไตย ไม่รู้ว่าถูกนักการเมืองทั้งไทยและฝรั่ง หลอกต้มอยู่

อาหรับสปริง ตูนีเซีย ลิเบีย อียิปต์ ซีเรีย ตุรกี รวมถึงอิรัค อัฟกานิสถาน ได้อะไรจากการเรียกร้องประชาธิปไตย ตามการกำกับของนักล่าทรัพยากรบ้าง

จนบัดนี้ อียิปต์ยังประท้วงกันไม่เสร็จ จากประเทศที่เคยอยู่ได้ เพราะมีรายได้จากการท่องเที่ยว ตอนนี้อาจต้องแถมเงินให้ไปเที่ยวแทน
อิหร่าน อิรัก คูเวต ลิเบีย อุดมไปด้วยน้ำมัน ถ้าเป็นทะเลทรายแห้งแล้ง หรือเลี้ยงแต่อูฐ ปลูกแครอท เหล่านักล่าทรัพยากรจะเข้าไปยุ่งไหม
อย่าลืม อาฟริกา ที่อุดมด้วย เพชร ทอง แร่ธาตุสาระพัด เหล่านักล่าทรัพยากร ก็เข้าไปต้มเขามาตั้งแต่ร้อยปีก่อน หลอกให้เขาให้สัมปทานราคาถูกๆ นักการเมืองก็แบมือรับหัวคิวที่เขาเขี่ยๆ ให้ เดี๋ยวนี้ประเทศเหล่านั้นก็ยังมีพลเมืองอดอยากมากมาย แต่นักล่าทรัพยากรก็กระเป๋าตุ่ย เดินเบ่งกล้ามกันเป็นแถว

เราไม่เคยเรียนรู้กันเลยหรือ เขาต้มเรามาตลอด หลอกต้ังแต่เข้ามาทำการสำรวจ ทำแผนพัฒนา ผ่านไปเกือบ 60 ปี ไทยแลนด์ก็เปลี่ยนจากคนรวย ก็เป็นคนเคยรวย!
ดินแดนสุวรรณภูมิไม่ได้เรียกกันอย่างเลื่อนลอยนะ ความเป็นจริงเรายังมีทรัพยากรซ่อนอยู่ พวกนักล่ามันก็รู้ ดาวเทียมของเขา ไม่ได้ใช้ลอยเล่นแบบโคมลอยวันลอยกระทงนะ มันส่องมันถ่ายดูเราจนทะลุปรุโปร่ง เวลาอาบน้ำระวังหน่อยนะจ๊ะ เดี๋ยวโป๊ (ฮา)



ตอนที่3/2

ทุกวันนี้ นักล่าโผล่หัวเข้ามาขุดน้ำมันในบ้านเรากี่ราย ราคาน้ำมันบ้านเราแพงกว่าเพื่อนบ้านเท่าไหร่ เคยสนใจกันไหม หรือมัวแต่ดูละครน้ำเน่า
ทรัพย์ในดิน สินในน้ำ ไม่ใช่คำคนโบราณพูดเล่น คนรุ่นปัจจุบันต่างหาก เอาแต่เดินเล่นในห้าง ดูหนังดูละครไปวันๆ ไม่เคยสนใจอะไรเกินกว่าที่เห็นในกระจกส่องหน้า

เดี๋ยวนี้ ที่ดินของเรา ผืนแผ่นดินไทยตกอยู่ในมือต่างชาติ โดยตรงและโดยอ้อม
เป็นจำนวนหนึ่งในสามของที่ดิน ทั้งหมดแล้วนะ แม้จะมีกฏหมายห้าม แต่ก็มีอีนอ นอมินี! ถือแทนให้ พวกอีนอทั้งหลายนี่แหละ ตัวดีขายชาติ! อีกหน่อยพวกเราชาวไทยทั้งหลาย ไม่แคล้วต้องอาศัยอยู่ในที่ดิน ที่มีต่างชาติเป็นเจ้าของ แต่เป็นผืนแผ่นดินที่อยู่ในแผนที่ประเทศไทย เข้าใจไหม เริ่มตื่นเต้นกันบ้างหรือยัง

ยังไม่ตื่นเต้นเหรอ เอ้า ถ้างั้นปลุกต่อมเฉื่อยหน่อย ไม่ใช่แค่ที่อาศัยอยู่นะ
ถ้าที่ดินเหล่านั้น เป็นไร่ เป็นนา แหล่งน้ำ ปศุสัตว์ ที่เราเคยอาศัยซื้อ อาศัยใช้ อาศัยกิน ระหว่างคนไทยด้วยกัน ต่อนี้ไป เราก็อาจต้องซื้อจากเขา เขาต่างชาติในบ้านของเราไง แล้วแต่เขาจะกำหนดกฎเกณฑ์
ต่อไปคนไทยอาจต้องยืนเข้าคิวซื้อข้าวจากต่างชาติ ในประเทศของเราก็ได้ สงสัยตอนนั้นยังจะเป็นประเทศไทยของเราอยู่หรือเปล่านะ

เอ๊ะ แล้วนักการเมืองหายหัวไปไหนหมด เราเลือกเขามาตามประชาธิปไตยนะ เขาต้อง
ดูแลให้เราสิจ้ะ

ถูกต้องแล้วคร้าบ เขาว่าประชาธิปไตยคือการเลือกต้ัง เราเลือกเขาเข้ามาทำหน้าที่ในสภา ตอนนี้พวกเขากำลังยุ่งกันอยู่ เรื่องจะแก้รัฐธรรมนูญ (ลูกคนโตของพระยาพหลฯไงพี่น้อง)
แล้วที่เขาจะแก้ จะแก้กันน่ะ มันเป็นประโยชน์กับปากท้อง ที่ทำกิน ฯลฯ ของพวกเรา
บ้างไหมนะ สงสัยต้องไปถามหาจากลูกพระยาพหลฯ !!!!

(ขออำไพครับ วันนี้ไม่ได้พูดเรื่องนิรโทษกรรม เพราะเล่านิทานเรื่อง จิกโก๋ปากซอย
มันยังไม่เกี่ยวกันโดยตรง แต่ใช่ว่า ไม่เกี่ยวกัน ติดตามไปก่อนนักอ่านนิทาน เดี๋ยว
ก็รู้เองว่า เกี่ยวกันอย่างไร)


นิทานเรื่องจริง เรื่อง " จิ๋กโก๋ปากซอย "

ตอนที่ 4: จิกโก๋เก่า จิกโก๋ใหม่
ตอนท่ี4/1


การล่าทรัพยากรรุ่นใหม่ แม้ไม่ได้เน้นการใช้กำลังทหารยึดครองดินแดน ก็ต้องแน่ใจว่า
ประเทศเป้าหมาย อยู่ในกำมือแน่นอน ไม่มีนักล่าต่างพวกมาแย่งจากปาก
อเมริกา นักล่ารุ่นใหม่ในฐานะพี่เบิ้ม ถักตาข่ายมาคลุมสมันน้อยไทยแลนด์ ด้านเศรษฐกิจแล้ว แค่นั้นไม่พอ มันต้องคุมการเมือง การทหารด้วย มันถึงจะอยู่หมัด (มาถึงแล้วไง เรื่องความมั่นคง !)

สงครามอินโดจีนเริ่มต้น เมื่อปี พ.ศ. 2490 (ค.ศ. 1947) เริ่มจากมวยคู่แรกระหว่างเวียตนามกับฝรั่งเศส
แต่เค้าลางน่ะ มันมีมาก่อนแล้ว ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2482 (ค.ศ. 1939) เวียตนามซึ่งตกเป็นเมืองขึ้นของ ฝรั่งเศส มากว่า 50 ปี ชักจะทนเหม็นเขียวฝรั่งกร่างไม่ไหว
ลุงโฮจึงพยายามปลุกชาวญวนให้ตื่น ขยับตัวขยับขาให้พ้นจักกะแร้ฝรั่ง

อย่าลืมว่า อังกฤษ ฝรั่งเศส อเมริกา นั้นเกาะกลุ่มกันแน่น แม้ภาพข้างนอก บางครั้งเหมือนจะแย่งกระดูกกันเอง แต่มันเป็นเพียงแค่ละครตบตา
ของจริง 3 ชาตินี่มันเป็น 3 เกลอหัวแข็งต้นแบบ
ทำเป็นทะเลาะตีหัวกันไปมา แต่มันก็หากินด้วยกัน แบ่งกระดูกกันมาตลอด

ไม่แบ่งได้ยังไง ย้อนไปดูประวัติศาสตร์อังกฤษกับฝร้งเศส เดี๋ยวมันก็รบกัน เดี๋ยวมันก็จับลูกสาว ลูกชายให้แต่งงานกัน มันก็เรื่ิองในครอบครัวเขานั่นแหละ

ส่วนอเมริกาเศรษฐีใหม่ มาจากไหน ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกไอริช อพยพมาหากินในแผ่น
ที่เพิ่งค้นพบใหม่ เพราะทนอดอยากอยู่ที่เดิมไม่ไหว ถูกอังกฤษข่มเหงให้กินแต่ของเหลือเดน ดังน้ัน ถึงจะเป็นไม้เบื่อของอังกฤษ แต่ก็อยู่ในอวยของอังกฤษอยู่ดี

จึงไม่แปลกที่อังกฤษ จะมองอเมริกาเป็นลูกไล่อยู่ตลอดเวลา ขู่ฝ่อใส่มาต้ังแต่สงครามกลางเมืองแล้ว ทุกวันนี้อเมริกันแถวนิวยอร์ค ยังแต่งสีเขียวฉลองวันเซนต์
แพรทริกอยู่เลย เคนเนดีก็มาจากแถวนี้แหละ ดูจากท่าทางนายโทนี่ แบลร์ ตอนอยู่กับนายบุช ตัวลูก แล้วก็คงพอเข้าใจกันนะ แล้วจะกล้าไปหือ กับเขาได้ไง มีแต่อือ อือ อย่างเดียว

แล้วฝรั่งเศสล่ะ คนอื่นไกลกันที่่ไหน ทางใต้ของอเมริกาน่ะ ใครมีอิทธิพล
นิว ออร์ลีน น่ะมาจากภาษาฝรั่งเศสนะ ไม่ใช่ ภาษาอินเดียนแดง

ดังนั้น เมื่อฝรั่งเศสเริ่มเดือดร้อนในการปกครองเวียตนาม เพราะลุงโฮเริ่มเอาจริงต้ังแต่
ปี พ.ศ.2482 (คศ 1939) สามเกลอหัวแข็ง ก็คิดหนัก เดี๋ยวพวกขี้ข้าเมืองขึ้นทั้งหลายมัน จะเอาอย่างกันหมด อย่ากระนั้นเลย จำเป็นต้องตัดไฟแต่หัวลม เราจงร่วมกันสร้างผี ให้พวกมันกลัวซักตัว มันจะได้ไม่กล้าไปจากอ้อมจักกะแร้เหม็นเขียวของพวกเรา

บัดนั้นเอง ผีคอมมิวนิสต์ ก็ถูกสร้าง ถุูกปลุกไปทั่วแถบอินโดจีน
ต่างอะไรกับการปลุกประชาธิปไตยสมัยนี้ ในประเทศที่อุดมด้วยทรัพยากร แต่ไม่อุดม
ปัญญา


ตอนที่ 4: จิ๋กโกเก่า จิ๋กโก๋ใหม่
ตอนที่ 4/2

หว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นบุกเข้าเวียตนามและยึดได้ ในปี พ.ศ. 2483
(ค.ศ. 1940) ยึดไว้ในกำมือไม่พอ ประกาศยกเลิกการปกครองโดยฝรั่งเศส ไล่พวกหัวทองจักกะแร้เหม็นออกไป (แหม! ญี่ปุ่นก็เข็ดฝรั่งเหมือนกันนะ โชกุนน่ะ โดนโปรตุเกศเล่นชะงอมหล่นเหมือนกัน ซามุไรจะไปสู้กับปืนไหวหรือ)

อย่างที่บอก ขบวนการลุงโฮเกิดขึ้น ตั้งแต่ปีค.ศ. 1939 ดังนั้นพอญี่ปุ่นยึดเวียตนาม สามเกลอหัวแข็ง ก็วางแผนยุและสนับสนุนขบวนการลุงโฮ ให้ไปสู้กับญี่ปุ่น
ใช้ไปจิกกระดูก ออกมาจากปากญี่ปุ่นแทนพวกตัว ลุงโฮฉลาดล้ำ รับแผนไปปฏิบัติตามทันที
แต่มันพลิกล็อก ตอนที่ลุงโฮไล่ญี่ปุ่นออกไปแล้ว แทนที่ลุงแกจะคืนกระดูกให้ฝรั่ง
แกกลับเก็บกระดูกไว้ แล้วดัดหลัง 3 เกลอหัวแข็งอีกต่อ

ลุงโฮประกาศแยกเวียดมินห์ ออกจากเวียตนาม ในปี พ.ศ. 2489 (ค.ศ. 1946) หลังจากควันสงครามโลกครั้งที่ 2 ยังไม่ทันจะจางดี ฝรั่งหงายท้องผลึ่ง โอ้พระเจ้าจ้อด
ยูทำได้งัยเนี่ย
เรียกได้ว่ากำลังสำคัญ ที่สนับสนุนให้ เวียตมินห์เติบโต ก็คืออเมริกา ภายใต้การกำกับของกลุ่มสามเกลอหัวแข็ง
อืม โลกนี้มันสลับซับซ้อนแยะกว่าที่คิดนะโยม

พ.ศ. 2490 (ค.ศ. 1947) พี่เบิ้มทำเป็นตกกะใจ ว้ายตาเถร ดันติดดาบให้ยักษ์ ติดอาวุธให้สตรู
เวียตมินห์เริ่มขยายแนวร่วม ดอกไม้แห่งเสรีภาพขยายพันธ์อย่างรวดเร็ว
อเมริกาจึงประกาศขยายนโยบายปิดกั้น (Containment) การแพร่พันธ์ของระบอบคอมมิวนิสต์ ซึ่งกำลังขยายตัวอยู่ในแถบรัสเซียข้ามโลกมาถึงจีน และอินโดจีนด้วย
พญาอินทรีย์สยายปีกแล้ว

นี่มันเอาหนังเก่ามาฉายใหม่นี่หว่า จำได้ไหม สมัยรัชกาลที่ 4 ต่อรัชกาลที่ 5 ฝรั่งเศสกับอังกฤษ มันเล่นป่าหี่กันจะยึดไทย ไทยก็พยายามถ่วงดุลย์ระหว่าง 2 ประเทศ
พระเจ้าแผ่นดินทั้ง 2 พระองค์ต้องใช้พระปรีชาสามารถอย่างสูง ในการดำเนินวิธีการทูต ถ่วงดุลย์ 2 ประเทศอยู่นาน มาฝีแตกเอา ร.ศ. 112 (ประวัติศาสตร์ตอนนี้ยาวขอติดไว้เล่าวันหลังนะ แต่ต้องรู้เพราะมันต่อเนื่องกับปัจจุบัน ก็บอกแล้ว ถ้าไม่รู้ว่าต้นไม้ต้นใดเป็นพิษ จะรู้ได้ได้ไงว่าลูกมันกินอร่อย หรือกินแล้วเด็ดสะมอเร่)
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #6 เมื่อ: ตุลาคม 29, 2013, 08:37:56 AM »

ตอนที่ 3 ลูกคนโตพระยาพหลฯ
ตอนที่3/1

ประชาชนก็ได้แต่ฝากความหวัง ไว้กับการปกครองระบอบประชาธิปไตย ที่เราเชื่อว่าจะทำให้ประชาชนมีสิทธิ มีเสียง ในการบริหารบ้านเมือง ต้ังแต่การปฏิวัติปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี พ.ศ. 2475

ปี พ.ศ. 2475 เมื่อคณะราษฎร์ ทำการปฏิวัติฯ พระยาพหลฯ ประกาศที่ลานพระรูปว่า ต่อไปนี้ประเทศเราจะเป็นประชาธิปไตย ปกครองโดยรัฐธรรมนูญ

ชาวบ้านที่มาชุมนุมที่ลานพระรูป ได้ยินพระยาพหลฯประกาศดังนั้น ก็พากันมึน หันมามองหน้ากันเลิกลั่ก แล้วถามว่า รัฐธรรมนูญเป็นใคร ลูกคนโตของพระยาพหลฯ เหรอ
ฮาจริงๆ

แต่คิดดีๆ แล้วขำไม่ออกนะ ต่างอะไรกับที่หุ่นยนตร์ฝังชิพรุ่นทุนนิยมสมัยนี้ ที่ร้องเรียกหาประชาธิปไตย ไม่รู้ว่าถูกนักการเมืองทั้งไทยและฝรั่ง หลอกต้มอยู่

อาหรับสปริง ตูนีเซีย ลิเบีย อียิปต์ ซีเรีย ตุรกี รวมถึงอิรัค อัฟกานิสถาน ได้อะไรจากการเรียกร้องประชาธิปไตย ตามการกำกับของนักล่าทรัพยากรบ้าง

จนบัดนี้ อียิปต์ยังประท้วงกันไม่เสร็จ จากประเทศที่เคยอยู่ได้ เพราะมีรายได้จากการท่องเที่ยว ตอนนี้อาจต้องแถมเงินให้ไปเที่ยวแทน
อิหร่าน อิรัก คูเวต ลิเบีย อุดมไปด้วยน้ำมัน ถ้าเป็นทะเลทรายแห้งแล้ง หรือเลี้ยงแต่อูฐ ปลูกแครอท เหล่านักล่าทรัพยากรจะเข้าไปยุ่งไหม
อย่าลืม อาฟริกา ที่อุดมด้วย เพชร ทอง แร่ธาตุสาระพัด เหล่านักล่าทรัพยากร ก็เข้าไปต้มเขามาตั้งแต่ร้อยปีก่อน หลอกให้เขาให้สัมปทานราคาถูกๆ นักการเมืองก็แบมือรับหัวคิวที่เขาเขี่ยๆ ให้ เดี๋ยวนี้ประเทศเหล่านั้นก็ยังมีพลเมืองอดอยากมากมาย แต่นักล่าทรัพยากรก็กระเป๋าตุ่ย เดินเบ่งกล้ามกันเป็นแถว

เราไม่เคยเรียนรู้กันเลยหรือ เขาต้มเรามาตลอด หลอกต้ังแต่เข้ามาทำการสำรวจ ทำแผนพัฒนา ผ่านไปเกือบ 60 ปี ไทยแลนด์ก็เปลี่ยนจากคนรวย ก็เป็นคนเคยรวย!
ดินแดนสุวรรณภูมิไม่ได้เรียกกันอย่างเลื่อนลอยนะ ความเป็นจริงเรายังมีทรัพยากรซ่อนอยู่ พวกนักล่ามันก็รู้ ดาวเทียมของเขา ไม่ได้ใช้ลอยเล่นแบบโคมลอยวันลอยกระทงนะ มันส่องมันถ่ายดูเราจนทะลุปรุโปร่ง เวลาอาบน้ำระวังหน่อยนะจ๊ะ เดี๋ยวโป๊ (ฮา)






ตอนที่3/2

ทุกวันนี้ นักล่าโผล่หัวเข้ามาขุดน้ำมันในบ้านเรากี่ราย ราคาน้ำมันบ้านเราแพงกว่าเพื่อนบ้านเท่าไหร่ เคยสนใจกันไหม หรือมัวแต่ดูละครน้ำเน่า
ทรัพย์ในดิน สินในน้ำ ไม่ใช่คำคนโบราณพูดเล่น คนรุ่นปัจจุบันต่างหาก เอาแต่เดินเล่นในห้าง ดูหนังดูละครไปวันๆ ไม่เคยสนใจอะไรเกินกว่าที่เห็นในกระจกส่องหน้า

เดี๋ยวนี้ ที่ดินของเรา ผืนแผ่นดินไทยตกอยู่ในมือต่างชาติ โดยตรงและโดยอ้อม
เป็นจำนวนหนึ่งในสามของที่ดินทั้งหมดแล้วนะ แม้จะมีกฏหมายห้าม แต่ก็มีอีนอ นอมินี! ถือแทนให้ พวกอีนอทั้งหลายนี่แหละ ตัวดีขายชาติ! อีกหน่อยพวกเราชาวไทยทั้งหลาย ไม่แคล้วต้องอาศัยอยู่ในที่ดิน ที่มีต่างชาติเป็นเจ้าของ แต่เป็นผืนแผ่นดินที่อยู่ในแผนที่ประเทศไทย เข้าใจไหม เริ่มตื่นเต้นกันบ้างหรือยัง

ยังไม่ตื่นเต้นเหรอ เอ้า ถ้างั้นปลุกต่อมเฉื่อยหน่อย ไม่ใช่แค่ที่อาศัยอยู่นะ
ถ้าที่ดินเหล่านั้น เป็นไร่ เป็นนา แหล่งน้ำ ปศุสัตว์ ที่เราเคยอาศัยซื้อ อาศัยใช้ อาศัยกิน ระหว่างคนไทยด้วยกัน ต่อนี้ไป เราก็อาจต้องซื้อจากเขา เขาต่างชาติในบ้านของเราไง แล้วแต่เขาจะกำหนดกฎเกณฑ์
ต่อไปคนไทยอาจต้องยืนเข้าคิวซื้อข้าวจากต่างชาติ ในประเทศของเราก็ได้ สงสัยตอนนั้นยังจะเป็นประเทศไทยของเราอยู่หรือเปล่านะ

เอ๊ะ แล้วนักการเมืองหายหัวไปไหนหมด เราเลือกเขามาตามประชาธิปไตยนะ เขาต้อง
ดูแลให้เราสิจ้ะ

ถูกต้องแล้วคร้าบ เขาว่าประชาธิปไตยคือการเลือกต้ัง เราเลือกเขาเข้ามาทำหน้าที่ในสภา ตอนนี้พวกเขากำลังยุ่งกันอยู่ เรื่องจะแก้รัฐธรรมนูญ (ลูกคนโตของพระยาพหลฯไงพี่น้อง)
แล้วที่เขาจะแก้ จะแก้กันน่ะ มันเป็นประโยชน์กับปากท้อง ที่ทำกิน ฯลฯ ของพวกเรา
บ้างไหมนะ สงสัยต้องไปถามหาจากลูกพระยาพหลฯ !!!!

(ขออำไพครับ วันนี้ไม่ได้พูดเรื่องนิรโทษกรรม เพราะเล่านิทานเรื่อง จิกโก๋ปากซอย
มันยังไม่เกี่ยวกันโดยตรง แต่ใช่ว่า ไม่เกี่ยวกัน ติดตามไปก่อนนักอ่านนิทาน เดี๋ยว
ก็รู้เองว่า เกี่ยวกันอย่างไร)





เรียนท่านผู้อ่านนิทานที่เคารพ

กระผมขออำไพ เนื่องจากเป็น มือใหม่หัดขับ เขียนด้วยความเมา(มัน)
เลยลืมเรียนท่านผู้อ่านนิทาน ว่า ที่กระผม เขียนเล่ามาต้ังกะวันที่ 17 ตค 2556
นะครับ เป็นนิทานเรื่องจริง ชื่อเรื่อง "จิกโก๋ปากซอย"

มันเป็นใคร ตามอ่านๆไปก็รู้เอง

เขียนมาแล้ว 3 ตอน ดังนี้

ตอนที่ 1 : กำเนิดจิกโก๋
แยกเป็น ตอน 1/1, 1/2, 1/3, 1/4, 1/5, 1/6, 1,7

ตอนที่ 2 : จิกโก๋ สร้างวินมอไซด์
แยกเป็น ตอน 2/1, 2/2, 2/3, 2,4

ตอนที่ 3: ลูกคนโตพระยาพหลฯ
แยกเป็น ตอน 3/1, 3/2

ต่อไปนี่ จะเขียน ตอนที่ 4: จิกโก๋เก่า จิกโก๋ใหม่
โปรดติดตามนะคร้าบ





ตอนท่ี4/1


การล่าทรัพยากรรุ่นใหม่ แม้ไม่ได้เน้นการใช้กำลังทหารยึดครองดินแดน ก็ต้องแน่ใจว่า
ประเทศเป้าหมาย อยู่ในกำมือแน่นอน ไม่มีนักล่าต่างพวกมาแย่งจากปาก
อเมริกา นักล่ารุ่นใหม่ในฐานะพี่เบิ้ม ถักตาข่ายมาคลุมสมันน้อยไทยแลนด์ ด้านเศรษฐกิจแล้ว แค่นั้นไม่พอ มันต้องคุมการเมือง การทหารด้วย มันถึงจะอยู่หมัด (มาถึงแล้วไง เรื่องความมั่นคง !)

สงครามอินโดจีนเริ่มต้น เมื่อปี พ.ศ. 2490 (ค.ศ. 1947) เริ่มจากมวยคู่แรกระหว่างเวียตนามกับฝรั่งเศส
แต่เค้าลางน่ะ มันมีมาก่อนแล้ว ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2482 (ค.ศ. 1939) เวียตนามซึ่งตกเป็นเมืองขึ้นของ ฝรั่งเศส มากว่า 50 ปี ชักจะทนเหม็นเขียวฝรั่งกร่างไม่ไหว
ลุงโฮจึงพยายามปลุกชาวญวนให้ตื่น ขยับตัวขยับขาให้พ้นจักกะแร้ฝรั่ง

อย่าลืมว่า อังกฤษ ฝรั่งเศส อเมริกา นั้นเกาะกลุ่มกันแน่น แม้ภาพข้างนอก บางครั้งเหมือนจะแย่งกระดูกกันเอง แต่มันเป็นเพียงแค่ละครตบตา
ของจริง 3 ชาตินี่มันเป็น 3 เกลอหัวแข็งต้นแบบ
ทำเป็นทะเลาะตีหัวกันไปมา แต่มันก็หากินด้วยกัน แบ่งกระดูกกันมาตลอด

ไม่แบ่งได้ยังไง ย้อนไปดูประวัติศาสตร์อังกฤษกับฝร้งเศส เดี๋ยวมันก็รบกัน เดี๋ยวมันก็จับลูกสาว ลูกชายให้แต่งงานกัน มันก็เรื่ิองในครอบครัวเขานั่นแหละ

ส่วนอเมริกาเศรษฐีใหม่ มาจากไหน ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกไอริช อพยพมาหากินในแผ่น
ที่เพิ่งค้นพบใหม่ เพราะทนอดอยากอยู่ที่เดิมไม่ไหว ถูกอังกฤษข่มเหงให้กินแต่ของเหลือเดน ดังน้ัน ถึงจะเป็นไม้เบื่อของอังกฤษ แต่ก็อยู่ในอวยของอังกฤษอยู่ดี

จึงไม่แปลกที่อังกฤษ จะมองอเมริกาเป็นลูกไล่อยู่ตลอดเวลา ขู่ฝ่อใส่มาต้ังแต่สงครามกลางเมืองแล้ว ทุกวันนี้อเมริกันแถวนิวยอร์ค ยังแต่งสีเขียวฉลองวันเซนต์
แพรทริกอยู่เลย เคนเนดีก็มาจากแถวนี้แหละ ดูจากท่าทางนายโทนี่ แบลร์ ตอนอยู่กับนายบุช ตัวลูก แล้วก็คงพอเข้าใจกันนะ แล้วจะกล้าไปหือ กับเขาได้ไง มีแต่อือ อือ อย่างเดียว

แล้วฝรั่งเศสล่ะ คนอื่นไกลกันที่่ไหน ทางใต้ของอเมริกาน่ะ ใครมีอิทธิพล
นิว ออร์ลีน น่ะมาจากภาษาฝรั่งเศสนะ ไม่ใช่ ภาษาอินเดียนแดง

ดังนั้น เมื่อฝรั่งเศสเริ่มเดือดร้อนในการปกครองเวียตนาม เพราะลุงโฮเริ่มเอาจริงต้ังแต่
ปี พ.ศ.2482 (คศ 1939) สามเกลอหัวแข็ง ก็คิดหนัก เดี๋ยวพวกขี้ข้าเมืองขึ้นทั้งหลายมันจะเอาอย่างกันหมด อย่ากระนั้นเลย จำเป็นต้องตัดไฟแต่หัวลม เราจงร่วมกันสร้างผี ให้พวกมันกลัวซักตัว มันจะได้ไม่กล้าไปจากอ้อมจักกะแร้เหม็นเขียวของพวกเรา

บัดนั้นเอง ผีคอมมิวนิสต์ ก็ถูกสร้าง ถุูกปลุกไปทั่วแถบอินโดจีน
ต่างอะไรกับการปลุกประชาธิปไตยสมัยนี้ ในประเทศที่อุดมด้วยทรัพยากร แต่ไม่อุดม
ปัญญา

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #7 เมื่อ: ตุลาคม 29, 2013, 08:42:20 AM »

ตอนที่ 4: จิ๋กโกเก่า จิ๋กโก๋ใหม่
ตอนที่ 4/2

หว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นบุกเข้าเวียตนามและยึดได้ ในปี พ.ศ. 2483
(ค.ศ. 1940) ยึดไว้ในกำมือไม่พอ ประกาศยกเลิกการปกครองโดยฝรั่งเศส ไล่พวกหัวทองจักกะแร้เหม็นออกไป (แหม! ญี่ปุ่นก็เข็ดฝรั่งเหมือนกันนะ โชกุนน่ะ โดนโปรตุเกศเล่นชะงอมหล่นเหมือนกัน ซามุไรจะไปสู้กับปืนไหวหรือ)

อย่างที่บอก ขบวนการลุงโฮเกิดขึ้น ตั้งแต่ปีค.ศ. 1939 ดังนั้นพอญี่ปุ่นยึดเวียตนาม สามเกลอหัวแข็ง ก็วางแผนยุและสนับสนุนขบวนการลุงโฮ ให้ไปสู้กับญี่ปุ่น
ใช้ไปจิกกระดูก ออกมาจากปากญี่ปุ่นแทนพวกตัว ลุงโฮฉลาดล้ำ รับแผนไปปฏิบัติตามทันที
แต่มันพลิกล็อก ตอนที่ลุงโฮไล่ญี่ปุ่นออกไปแล้ว แทนที่ลุงแกจะคืนกระดูกให้ฝรั่ง
แกกลับเก็บกระดูกไว้ แล้วดัดหลัง 3 เกลอหัวแข็งอีกต่อ

ลุงโฮประกาศแยกเวียดมินห์ ออกจากเวียตนาม ในปี พ.ศ. 2489 (ค.ศ. 1946) หลังจากควันสงครามโลกครั้งที่ 2 ยังไม่ทันจะจางดี ฝรั่งหงายท้องผลึ่ง โอ้พระเจ้าจ้อด
ยูทำได้งัยเนี่ย
เรียกได้ว่ากำลังสำคัญ ที่สนับสนุนให้ เวียตมินห์เติบโต ก็คืออเมริกา ภายใต้การกำกับของกลุ่มสามเกลอหัวแข็ง
อืม โลกนี้มันสลับซับซ้อนแยะกว่าที่คิดนะโยม

พ.ศ. 2490 (ค.ศ. 1947) พี่เบิ้มทำเป็นตกกะใจ ว้ายตาเถร ดันติดดาบให้ยักษ์ ติดอาวุธให้สตรู
เวียตมินห์เริ่มขยายแนวร่วม ดอกไม้แห่งเสรีภาพขยายพันธ์อย่างรวดเร็ว
อเมริกาจึงประกาศขยายนโยบายปิดกั้น (Containment) การแพร่พันธ์ของระบอบคอมมิวนิสต์ ซึ่งกำลังขยายตัวอยู่ในแถบรัสเซียข้ามโลกมาถึงจีน และอินโดจีนด้วย
พญาอินทรีย์สยายปีกแล้ว

นี่มันเอาหนังเก่ามาฉายใหม่นี่หว่า จำได้ไหม สมัยรัชกาลที่ 4 ต่อรัชกาลที่ 5 ฝรั่งเศสกับอังกฤษ มันเล่นป่าหี่กันจะยึดไทย ไทยก็พยายามถ่วงดุลย์ระหว่าง 2 ประเทศ
พระเจ้าแผ่นดินทั้ง 2 พระองค์ต้องใช้พระปรีชาสามารถอย่างสูง ในการดำเนินวิธีการทูต ถ่วงดุลย์ 2 ประเทศอยู่นาน มาฝีแตกเอา ร.ศ. 112 (ประวัติศาสตร์ตอนนี้ยาวขอติดไว้เล่าวันหลังนะ แต่ต้องรู้เพราะมันต่อเนื่องกับปัจจุบัน ก็บอกแล้ว ถ้าไม่รู้ว่าต้นไม้ต้นใดเป็นพิษ จะรู้ได้ได้ไงว่าลูกมันกินอร่อย หรือกินแล้วเด็ดสะมอเร่)

นิทานเรื่องจริง เรื่อง "จิ๊กโก๋ปากซอย"



ตอนที่ 4: จิ๊กโก๋เก่า จิ๊กโกใหม่
ตอน 4/3

กลับไปดูภูมิศาสตร์กันหน่อย ประเทศไทยตั้งอยู่ตรงไหน ข้างซ้ายของไทยเป็นพม่า
ติดพม่าขึ้นไปทางเหนือเป็นลาว ย้ายมาด้านขวาหน่อยเป็นญวณและเขมร กระจุกประเทศแถบนี้ อยู่ใต้มณฑลยูนานของจีน ซึ่งเป็นประตูทางเข้าที่สำคัญของจีน ที่เขาเรียกกันว่า Soft Belly น่ารักนะ

ยูนานเป็นมณฑลที่อุดมสมบูรณ์ ในน้ำมีปลาในนามีข้าว ป่าไม้ แร่ธาตุ โอ้ย ! อุดมไปหมด ภัยธรรมชาติก็ไม่มี น้ำไหลทั้งปี ใคร ๆ ก็อยากได้

ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 ที่ 5 ทั้งฝรั่งเศสและอังกฤษก็เล็งเข้ายูนาน
อังกฤษวางแผนจะเข้าผ่านทางพม่า ฝรั่งเศสจะเข้าผ่านทางลาว ญวณ และเขมร
ฝรั่งเศสจึงตีเขมรก่อน เพื่อขึ้นไปล้อมญวณ แต่ลาวนั่นขึ้นอยู่กับไทยอยู่ช่วงนั้น
มันถึงหาเรื่องทะเลาะกับไทย เพื่อจะเอาลาว
เหตุการณ์ ร.ศ. 112 ก็มาจากเรื่องนี้แหละ เล่าย่อไว้ก่อนนะ
จนแล้วจนรอดก็กินไทยไม่ได้เต็มที่ มันถึงฝังใจมาถึงเดี๋ยวนี้ไง
โน้น! เขาพระวิหารมารำไรเกี่ยวกันไหมหนอ

พอเห็นไหม ทำไมประเทศรอบบ้านเราตกเป็นอาณานิคมของ  2 เกลอ แล้วทำไมมันถึงตามบี้เราจนทุกวันนี้ ทุกอย่างมันต่อเนื่องกัน สงสัยต้องหัดเล่นจิกซอว์ จะได้มองเห็นภาพรวมชัด

พม่าเสียเมืองให้อังกฤษในปี พ.ศ. 2428 (ค.ศ. 1875) ส่วน ญวณ เขมรและลาว
ก็ตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส ในปี พ.ศ. 2401, 2426, 2436 ตามลำดับ

เมื่อเราเป็นประเทศที่เป็นปากทางเข้าจีน และคอมมิวนิสต์ก็กำลังเริ่มบานเบิกอยู่ที่จีน
และกำลังลามมาเวียตนาม

แล้วนี้ถ้ามันลามมาทั้งอินโดจีน จะทำยังไง สามเกลอหัวแข็งเริ่มเกาหัว ประเทศแถวนี้ (ยกเว้นไทยแลนด์) มันก็ขี้ข้าเก่าเราทั้งนั้น ถึงให้เอกราชมันไปแล้ว แต่มันก็ยังกุมเป๋าเวลาพูดกับเรา เรายังพอจิกหัวใช้ได้ จะปล่อยให้คนอื่นมางาบต่อไปได้ยังไง

ว่าแล้วสามเกลอก็เซ็นใบมอบอำนาจแบบเด็ดขาดให้อเมริกา ยูไปจัดการเอาให้อยู่หมัดเลยนะ ไทยแลนด์น่ะรอดปากพวกเรามาหลายหนแล้ว
คร้ังนี้อย่าให้พลาดนะ!




ตอนที่ 4: จิ๊กโก๋เก่า จิ๊กโก๋ใหม่
ตอน 4/4

อเมริกาออกข่าวทั้งทางตรงและทางอ้อมว่า ไทยเป็นประเทศที่มีความสำคัญ ที่อเมริกาต้องการใช้เป็นฐาน ในการปฏิบัติการปิดกั้นระบอบคอมมิวนิสต์ ในอินโดจีน เนื่องจากสภาพภูมิศาสตร์ของไทย (ทฤษฎีโดมิโนไง)

ที่ออกข่าวมันก็อีหรอบเดิม ใช้เป็นหน้าฉากของการล่าครั้งสำคัญ ครั้งนี้เขาเขียนบทไว้ยาว เล่นกันนาน สมันน้อยจะรู้ทันไหมหนอ ไม่เคยจำซะที ว่าพวกสามเกลอหัวแข็งมันเล่นตลกเก่ง เปลี่ยนฉาก สลับกันตีหัว
แล้วก็วิธีการแบบนี้น่ะ จำไว้ให้ดีนะ สมันน้อย มันกำลังจะกลับมาใช้เล่นอีก

เมื่อออกข่าวหัวสีไปแล้ว ที่นี้ก็ส่งพนักงานเดินสารระดับรองประธานาธิบดี มากล่อม
นายกฯ ของสมันน้อยต่อ (ตอนนั้น จอมพลคนแปลก ใส่หมวกแล้ว ทำให้ชาติเจริญ เป็นนายกรัฐมนตรี)

บอกว่าพวกคอมมี่มันมาใกล้บ้านยูแล้วนะ อย่าทำเป็นเล่นไป
แต่ยูไม่ต้องห่วงหรอก ไอเห็นใจยู ไอจะเลี้ยงดู เอ๊ย ดูแลไทยอย่างดี หาเงินกู้ให้ยู
(พี่เบิ้มใจป้ำมากนะ!) ไปพัฒนาประเทศ และกองทัพให้แข็งแรง ยูจะได้สู้กับคอมมี่ได้ไงล่ะ

นู้น อยู่กันคนละซีกโลก อยู่ดี ๆ ก็จะมาช่วยไทยรบกับคอมมี่ ไม่สงสัยกันบ้างเหรอว่าทำไมพี่เบิ้มใจดีอย่างนี้

แล้วพี่เบิ้มก็จัดการให้ไทยกู้เงิน จาก World Bank IBRD ก้อนใหญ่ ซึ่งแน่นอน มีเงื่อนไขที่พี่เขาวางไว้ แบบกับดักสมันน้อยติดมาเพียบ (ไม่ต่างกับยุครัฐบาลชวน กู้เงิน IMF เลยนะ ฟัง นิทานไปเรื่อย ๆ ไปเดี๋ยวถึงบางอ้อเอง)

แต่พี่เบิ้มเขาเก่ง กลัวไทยแลนด์ไม่สบายใจ ก็เพิ่งจีบกันใหม่ๆน่ะ เขาก็เลยแถมเงินช่วยเหลือทางทหาร จากUsom, Usaid, JUSMAC ติดไม้ติดมือมาให้นิดหน่อย

พี่ไทยสมันน้อยก็อ่อนระทวย มันก็เป็นยังงี้แหละพี่น้อง ใครเขาเอาเงินมาล่อ ก็รีบรับของเขา ไม่คิดอะไรมาก เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่ เฮ้อ! แล้วมันจะเหลือเหรอ ไทยแลนด์ สยามเมืองยิ้มของเราน่ะ...





ตอนที่ 5 เหนือจิกโก๋ ยังมีมาเฟีย (CIA)
ตอน 5/1

แล้วไง ปรากฏว่าการปิดกั้นของอเมริกาไม่ได้ผล (หรือได้ผล?) การสู้รบขยายวงกว้างไปทั่ว และยืดเยื้อ เกิดเป็นสงครามอินโดจีนของจริง อเมริกา (ปล่อย ข่าวว่า) ทำท่าจะเอาไม่อยู่

ปี พ.ศ. 2496 (คศ 1953) อเมริกาจึงปรับการให้ความช่วยเหลือแก่ไทยใหม่ คราวนี้ขุดหลุมลึกซึ้งเหลือเชื่อขึ้นไปอีก โดยผ่านกลไกของ CIA ซึ่งสมัยนู้น ยังเรียก OSS อยู่ (ชื่อเต็มคือ Office of the Strategic Services) คงพอเดาออกนะ ว่าหน่วยงานนี้เขาทำหน้าที่อะไร

โดยกลไกของพี่ซี (CIA) อเมริกาต้ังบริษัท Sea Supply ขึ้นในไทย มาทำหน้าที่ ซื้อ ขายอาวุธ จัดตั้งกองกำลัง ให้การฝึก และวิทยาการ ฯลฯ (ทำกิจกรรมตรงตามชื่ิ้อเลย ไม่มีปิดบัง เหนียมอาย)

ผู้ที่มาทำหน้าที่ดูแล ซีซัพพลาย เป็นทีมใหญ่ ซึ่งถูกฝึกมาจากมือเก๋าของ OSS
คือคุณ Donovan คนเก่ง ซีตัวพ่อของจริง (สมญา " Wild Bill Donovan") แกเก่งแบบพระเอกหนังเลยนะคุณโดคนนี้

คุณ Donovan วางแผนรูปแบบขบวนการกระชับวงล้อมคอมมี่อินโดจีน อย่างจัดเต็ม
วางแผนเสร็จแล้ว ก็มอบให้แก๊งคุณ Bird คนพี่ และคุณ Bird คนน้อง เป็นชุดปฏิบัติการ แว่วว่าเดี๋ยวนี้ลูกหลานคุณเบิร์ด ก็ยังสืบถอดงานบางประการของคุณปะป๋าอยู่แถว
เชียงใหม่ เพชรบูรณ์ ไปทำอะไร ตามหากันเองแล้วกัน

อ้อ ลืมเล่า คุณเบิร์ด อยู่เมืองไทยนานๆ ก็แน่นอน ย่อมมีภรรยาเป็นสาวไทย อย่าให้พูดเลยนะ ว่าเป็นใคร ญาติใคร รู้แล้วจะหนาว
ก๊วนคุณเบิร์ดนี่ยังกะหนัง Hollywood หนึ่งในก๊วนก็คือคุณ Jim Thompson ราชาผ้าไหมไทย ชีวิตคุณจิมนี่ สนุก โลดโผน น่าเอาไปทำหนัง ว่าง ๆ ไปหาหนังสือชีวประวัติแกอ่านดูซี

ผู้ได้รับประโยชน์ไปเต็มๆ จากซีซัพพลาย คือ กรมตำรวจ ภายใต้การดูแลของ พล ต อ เผ่า ศรียานนท์ คงยังจำชื่อนี้กันได้นะ

และถ้าไม่บอกชื่อผู้ประสานงานระหว่าง พล ต อ เผ่า กับ ซีซัพพลาย เรื่องก็จะไม่ครบรสชาด ฟังแล้วรับรอง ร้องซิ้ด เขาผู้นั้นเป็นนายทหารอากาศ หนุ่มลูกครึ่ง รูปหล่อ มาดขรึม ชื่อ สิทธิ เศวตศิลา ครับผม....




ตอนที่ 5 เหนือจิ๊กโก๋ ยังมีมาเฟีย (CIA)
ตอน 5/2

ซีซัพพลาย ช่วยกรมตำรวจ จัดต้ังและทำการฝึก ตำรวจพลร่ม ตำรวจตระเวนชายแดน และ สร้างตั้งค่ายนเรศวรอยู่แถวบ่อฝ้าย หัวหิน เพื่อใช้เป็นศูนย์ฝึก ที่มีอาวุธยุทโธปกรณ์ทันสมัยครบเครื่อง

มีตำรวจอะไรอีกมั้ย ที่ยังไม่ได้ต้ัง อ้อ ตำรวจแก๊สน้ำตา อันนี้มาต้ังตอนหลัง เดี๋ยวก็มาเอง ไม่ต้องรอนาน

ทุกวันนี้ค่ายนเรศวร ยังใช้การอยู่ สภาพเป็นอย่างไร คงต้องไปถาม วีระ ตู่ เต้น ฯลฯ ช่วงหลังกระชับวงล้อมที่ราชประสงค์ เขาว่าเหมือนกับอยู่รีสอร์ตหรูชายทะเล นี่ขนาด
ต้ังมา กว่า 50 ปีแล้วนะ

แต่โปรดอย่าลืมชื่อค่ายนี้ มีของดีเล่าวันหลัง

หลังจากฝึกกันจนเข้าฝัก ตชด บวกคนของซีซัพพลาย ก็เริ่มปฏิบัติการ ตามคำสั่งของคุณพี่ซี

งานหลักของกองกำลังซีซัพพลาย กับ ตชด คือ ร่วมมือกับกองพลก็กมินตั๋ง (จีนไต้หวัน ภายใต้การนำของนายพลเจียง ไค เช็ค ที่ไม่ยอมตกอยู่ภายใต้การปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์จีน) สู้กับจีนคอมมิวนิสต์

ขณะเดียวกัน ก็รับฝิ่นจากกองพลก๊กมินตั๋งส่งขายทั่วโลก เอาเงินเข้ากระเป๋าไว้เป็นเงินทุนสู้รบกับคอมมี่ เขาอ้างว่าอย่างนั้น เพราะ operation sea supply มันอยู่ off book (นอกระบบ)

มันจริงๆ ! นี่เอามาจากรายงานของคุณพี่มหามิตรเองนะ ไม่ได้มั่ว

คงพอนึกออกแล้วนะ คำว่า "ไม่มีอะไรภายใต้ดวงอาทิตย์ ที่ตำรวจไทยทำไม่ได้" มาจากไหน

เอ๊ะ! แล้วรูปแบบกองกำลังตำรวจของ พวกตำรวจ ประเภทมีวันนี้เพราะพี่ให้ วันสอยม็อบเสธอ้าย
กับวันสยบม๊อบลุงเอี่ยม นี่มาจากไหนนะ คลับคล้ายคลับคลาจริง

มาแล้วไง ตำรวจแก๊สน้ำตา รูปแบบเหมือน Homeland Security ของใครเอ่ย



ตอนที่ 5 เหนือจิ๊กโก ยังมีมาเฟีย (CIA)
ตอน5/3

สงครามอินโดจีน เริ่มต้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2490 (ค.ศ. 1947) จบสิ้นเอาปี พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979)
ระหว่างนั้นรัฐบาลไทยเปลี่ยนไปหลายยุค แต่ไม่ว่ายุคไหน ก็อยู่ในความดูแลของพี่เบิ้ม มหามิตรอเมริกาทั้งสิ้น

อเมริกาไม่เคยเล่นไพ่ใบเดียว จำตรงนี้ให้ดีๆ เมื่อให้ซีซัพพลายกับ คุณป๋าเผ่า มือขวาของจอมพล แปลก
อเมริกาก็ต้องมีอะไรให้มือซ้าย คือ คุณป๋าสฤษดิ์ด้วย

ช่วงปี พศ 2490 ถึง 2499 แม้จอมพล ป จะเป็นนายกฯ แต่ไม่มีกองกำลังจริงๆอยู่ในมือ
กำลังตำรวจซึ่งแข็งปึกอยู่กับ คุณป๋าเผ่า ส่วนกำลังทหารขึ้นอยู่กันคุณป๋าสฤษดิ์
ทั้ง 2 ฝ่ายก็ต่างกินก๋วยเตี๋ยวไม่เส้นด้วยกัน

การเมืองไทยช่วงนั้นสนุกจริง ๆ แต่ต้องนับถือสายตาพญาอินทรีย์ มองการณ์ไกลรู้ว่าจะเลี้ยงใคร ใช้ใคร

อเมริกาก็ใช้ทั้ง 2 คน สนับสนุนทั้ง 2 คนนั่นแหละ เพราะหวยยังไม่ออกว่า เมื่อจอมพล ป หมดอำนาจแล้ว ใครจะขึ้นมาแทน

ระหว่างนั้น อเมริกาก็จะประเมิน ผลได้ผลเสียของอเมริกา ที่จะเกิดขึ้น ภายใต้การบริหารของไพ่ทุกใบที่อเมริกาเล่น จนถึงจุดหนึ่ง ที่เห็นชัดพอว่า ตัวเลือก หรือ ไพ่ใบไหน เป็น ประโยชน์ หรือ ภาระ
อเมริกา ก็จะมีวิธีจัดการ ใช้ หรือ เก็บไพ่ที่ไม่เล่นต่อ อืม... น่าสนใจ หัดสังเกต
กันบ้างนะพี่น้อง

แล้วตอนนี้ละจ๊ะ อเมริกาเขาเล่นทั้งหน้าเหลี่ยมและหน้าหล่อ สีเหลือง สีแดง สีฟ้า กีฬาสีหรือเปล่านะ

และยังมีพี่ทหารอีกด้วย โปรดอย่าลืมเรื่องนี้สำมะคัญ อ่าน ๆ ไปแล้วจะรู้ว่าพี่ทหารนี้ยอดดวงใจของอเมริกาขนาดไหน!



ตอนที่ 6 จะดื่ม Coke หรือจะแทะเม็ดก๊วยจี้
ตอน 6/1

ต้องย้อนหลังเล่าถึงการเมืองไทยยุคจอมพล ป. หน่อย เล่าข้ามเดี๋ยวเหมือนหนังขาด

จอมพล ป. ขึ้นมามีอำนาจ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2490 หลังจากแยกวงกับนายปรีดี พนมยงค์
พอถึงปี พ.ศ. 2492 ทางฝ่ายจีนก็เริ่มเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง เป็นระบอบคอมมิวนิสต์
พี่เบิ้มก็ตาเขียวขึ้นมาทันที มือหนึ่งถือกระเป๋าเงินหนัก 7.5 ล้านเหรียญ อีกมือหนึ่งจับบ่าจอมพล ป. ถามว่า จอมพลคนแปลก ยูจะเอายังไง จะดื่มโค้กกับไอ หรือจะไปแทะเม็ดก๊วยจี๋?

แหม! ไม่อยากคิดเลยว่าเราจะเป็นพวกเห็นแก่เงิน เอาว่าไทยเราเป็นประเภทนักการทูตนกรู้แล้วกันนะ ว่าแล้วก็จิบโค้กแกล้มเงินช่วยเหลือ 7.5 ล้านเหรียญ อร่อย (เอะ! ตอนนี้ฝรั่งต้มไทยหรือไทยต้มฝรั่งกันแน่)

พอให้เงินแค่ 7.5 ล้านเหรียญ พี่เบิ้มก็เริ่มเบียดกระแซะไทยเข้ามาอีกคืบ
จับมือไทยลงชื่อแปะโป้งลงนามสัญญา 3 ฉบับ ในปี พ.ศ. 2493 (ค.ศ. 1950) (อีตอนนี้ฝรั่งต้มไทยนะนายจ๋า) เกี่ยวกับการร่วมมือการศึกษาและวัฒนธรรม 1 ฉบับ,
ความตกลงร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิทยาการ อีก 1 ฉบับ

แต่ที่สำคัญ คือ ความตกลงช่วยเหลือทางการทหาร เรียกย่อ ๆ ว่า สัญญา JUS MAC อีก 1 ฉบับ
ฉเพาะรายการหลัง เพื่อให้แน่ใจว่า สมันน้อยผูกคอตัวเองจนแน่น พี่เบิ้มใจดีจ่ายค่าแปะโป้งให้อีก 10 ล้านเหรียญ ! อืม... มันหวังดีจริงนะ

จำสัญญานี้ให้ดี ๆ นะ เรื่องนี้สำคัญมาก

มันเป็นสัญญาที่ทำให้ไทย กลายประหนึ่งเป็นทาสในเรือนเบี้ยของพี่เบิ้ม ไปตั้งแต่บัดนั้นและจนถึงทุทวันนี้ สัญญานี้ก็ยังมีผลบังคับอยู่ สนใจกันบ้าง ไปหามาอ่านกันนะ หรือไปถามคุณพี่ประยุทธ คนว่าง่ายของคุณพี่ถังเช่า ที่บอกว่าทหารไม่ยุ่งกับการเมืองเอาเองแล้วกัน ข้าพเจ้าขี้เกียจพูด เล่ามากกว่านี้เดี๋ยวก็จะโดนข้อหา เอาความลับของทางราชการมาเผย เดี๋ยว คุณพี่ ประยุทธ แกจะตวาดเอา (คนอะไรของขึ้นง่ายจัง)

ก็ใอ้สัญญา ที่ผูกมัดประเทศแบบนี้แหละ ที่เขาไม่อยากให้เราชาวประชารู้เขาถึงคิดแก้รัฐธรรมนูญกัน เพื่อเอาสิทธิของประชาชนคืนไป แล้วไง เราก็นั่งดูละครน้ำเน่าต่อ ยังกะบ้านเมืองไม่ใช่ของเรา..

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #8 เมื่อ: ตุลาคม 29, 2013, 08:48:54 AM »

ตอน 6/2

จอมพล ป. เจ้าของ “มาลานำไทย ใส่หมวกแล้วชาติเจริญ นั้นน่ะ
เป็นคนที่เชื่อในลัทธิชาตินิยม ออกกฎหมายลักษณะชาตินิยมทางเศรษฐกิจไว้แยะ
เรื่องนี้ก็ต้องย้อนไป ตั้งกะสมัยปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ซะหน่อย

เรา ๆ เข้าใจว่า ปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองล้มเจ้าแล้ว ชาวเราได้ปกครองหรือ

เปล่าหรอก เปลี่ยนจากเจ้าก็มาเป็นพวกเขาที่ทำปฏิวัตินั่นแหละ

มันเป็นการย้ายที่ทุนกับอำนาจ ยังไง จำได้ไหม เกริ่นไว้ตั้งกะแรกนะ

ก่อนพ.ศ. 2475 อำนาจกับทุนอยู่ที่กษัตริย์
หลังพ.ศ. 2475 อำนาจกับทุนย้ายมาอยู่ที่พวกปฏิวัติหรือจริง ๆ ก็คือ พวกอำมาตย์ (ทหาร+ข้าราชการ) และพ่อค้า ไม่ได้มาอยู่ที่ชาวประชาราษฎรไทยอย่างที่คิดและเข้าใจหรอกนะ

(นิทานตอนนี้อยากให้พวกนิติราษฎร์มาอ่าน แยะ ๆ เผื่อจะชอบ version นี้บ้าง 555)

สมัยพระมหากษัตริย์ปกครอง พระองค์ท่านมิได้ทำทำการค้าขายเอง แต่ให้นายอากรเป็นผู้ดำเนินการ แล้วก็จ่ายค่าอากรให้หลวง ถึงเรียกว่านายอากรไง
นายอากรนี้ ส่วนใหญ่ก็เป็นคนจีน ดังนั้น การค้าส่วนใหญ่สมัยรัตนโกสินทร์ส่วนใหญ่ก็อยู่ในมือพี่น้องคนจีนของเรา

พอหลัง พ.ศ. 2475 คณะราษฎร์ ก็รวบทั้งอำนาจและทุน แล้วก็ออกกฎหมายใหม่ อะไรที่นายอากรเคยทำ ก็เอามาทำเอง จึงกำเนิดรัฐวิสาหกิจ 100 กว่าแห่ง
ธนาคารอีกเกือบ 10 แห่ง
แล้วพวกคณะราษฎร์นั่นแหละ ก็เข้าไปร่วมถือหุ้นในกิจการต่าง ๆ เหล่านั้น
แล้วมันปฏิวัติ เพื่อประชาชนตรงไหน มีเวลาจะเล่ารายละเอียดว่า ตระกูลไหน ใครบ้างเข้าไปถือหุ้นในรัฐวิสาหกิจอะไร ธนาคารอะไร ไม่งั้นมันจะยังรวยก็อยู่ถึงตอนนี้เหรอ ผ่านไปตั้ง 70-80 ปีแล้ว (เอ้า! พวกนิติราษฎร์ อย่าลืมเล่าตรงนี้บ้างนะ)

นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนจีนที่เคยค้าขายในประเทศไทย ส่งเงินไปสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์จีน เพราะเห็นว่าถูกกลั่นแกล้งจากรัฐบาลไทย
ขณะเดียวกัน พี่เบิ้มก็บี้ไทยซ้ำ ยูจะเอายังไง ไอบอกว่าทุนนิยม ยูก็จะชาตินิยม เดี๋ยวเอาเงินคืนนะ ถึงขนาดส่งนาย John Dulles รมต.ตปท. มาบีบลูกกระเดือกจอมพล คนแปลกเอง




ตอนที่ 6 จะดื่มโค๊ก หรือจะแทะเม็ดก๊วยจี๋
ตอน 6/3

มันจะเกี่ยวกับเรื่องจอมพลคนแปลก มาลานำไทยแล้วชาติเจริญ ไม่ยอมเปลี่ยนจากชาตินิยมเป็นทุนนิยมหรือเปล่าไม่รู้นะ

แต่ช่วงพ.ศ. 2498-2500 สถานะการณ์ของจอมพล ป. ก็คลอนแคลน โยกเยก แล้วในที่สุด 16 ก.ย. 2500 จอมพลผ้าขะม้าก็ทำรัฐประหาร

จอมพล ป. ก็รีบเก็บกระเป๋าขึ้นรถ นั่งตัวตรงลี้ภัยไปที่เขมร ก่อนที่จะติดปีกบินต่อไปญี่ปุ่น ผู้ทำหน้าที่ขับรถพาท่านจอมพลไปเขมรชื่อ ชุมพล โลหะชาละ คุ้น ๆ นะ ชื่อนี้
ส่วนนายพล Sea Supply ก็หรูหน่อยขึ้นเครื่องบินลี้ภัยไปสวิส

น่าคิดนะ ไม่ว่าใครที่ขวางทางหรือไม่เป็นเด็กดีตามใบสั่งพี่เบิ้มนี่ ไม่นานหรอกก็มีอันต้องเก็บฉากหายตัวเป็นแถว ๆ ตามดูไปเรื่อย ๆ ก็แล้วกัน

จอมพลผ้าขะม้ารัฐประหารแล้วไม่เป็นนายกเอง แปลกนะ! คนเป็นนายกชื่อ
นายพจน์ สารสิน (แปลกไม่แปลกเอ่ย อ่าน ๆ ไปก็รู้เอง) คล้าย ๆ กับ พล.อ.สุจินดาทำรัฐประหาร แล้วให้นายอานันท์เป็นนายกเลยนะ อิ! อิ!

นายพจน์ เป็นนายกได้ไม่นาน ก็จัดการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยใบสั่งรุ่นแรก
ปี พ.ศ. 2501 หวยก็ไปตกที่พล.อ. ถนอม เป็นนายก โดยมีคุณป๋าผ้าขะม้าถือไม้เรียวคุมเข้มอยู่ข้างหลัง

รัฐประหารไม่เท่าไหร่ น้าหนอมยังเป็นนายกตั้งไข่ คุณป๋าผ้าขะม้าก็ล้มป่วย

พี่เบิ้มตาเหลือก แหม! วางแผนซะเกือบตาย กำลังจะไปได้สวยทุก
อย่างอยู่ในอวยหมดแล้ว ทำไมทำไม จะหมดวาสนาเอาง่าย ๆ
พี่เบิ้มก็เลยกล่อมให้คุณป๋าไปรักษาตัวที่ ร.พ. Water Reed อันลือชื่อของพี่เบิ้ม




ตอน 6/4

ระหว่างที่คุณป๋าสฤษดิ์รักษาตัวไป พักฟื้นไป พี่เบิ่มก็ส่งพี่เลี้ยงชื่อ พล.อ Eskine
มานั่งจับมือคุณป๋า เล่านิทานเรื่องภัยคอมมิวนิสต์ในอินโดจีนให้คุณป๋าฟังทุกวัน ทุกวัน

คุณป๋าแกเป็นทหารรักชาติของจริง ไม่ใช่พวกเห็นแก่ร้องเท้ากอล์ฟคู่เดียว หรือมีวันนี้เพราะพี่ให้ แกฟังพี่เลี้ยงใส่สีตีไข่ทุกวัน คุณป๋าเลือดรักชาติ พุ่งกระฉูดแทบหายป่วยเลย

อะไรมันจะขนาดนั้น ภัยมันจ่อคอหอยบ้านเราแล้วหรือ แถมลาวน้องรักก็กำลังจะถึงซึ่งชีวี มีหรือพี่จะนอนต่อไปได้
ว่าแล้วคุณป๋าก็ลุกขึ้น ทำเสียงเข้มใส่พี่เบิ้มทันที บอกมาบัดเดี๋ยวนี้ เราจะช่วยบ้านเราและบ้านพี่เมืองน้องของเรา ให้พ้นจากภัยคุกคาม ของเหล่าคอมมิวนิสต์ตัวร้ายได้อย่างไร

อ้า! สมันน้อยติดกับเราเรียบร้อยแล้ว! เสียงรำพึงขึ้นจมูกโด่งงุ้มของใครบางคนดังขึ้น

อย่าตกใจไปเลยสมันน้อย เราได้เตรียมการไว้ให้ท่านสมันน้อย เอ๊ย มิตรรัก ไว้พร้อมสรรพแล้ว เพียงท่านทำตามที่เราบอก บ้านท่าน รวมทั้งบ้านพี่บ้านน้องท่านก็จักพ้นภัย

วิธีจัดการกับสมันน้อยนามไทยแลนด์ ของพี่เบิ้มเนียนมาก
ด้านหนึ่งก็บอกว่าต้องพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้า ชาวประชาต้องมีงานทำ
พวกคอมมี่มันจะได้เข้าไม่ถึง ถ้าเรายากจน เขาก็มาช่วงชิงประชาชนไปได้

อีกด้านหนึ่งเราก็ต้องจัดการ ให้ยูมีกองกำลังเอาไว้ป้องกันตัว บดขยี้พวกคอมมี่ที่จะมาตีบ้านตีเมืองยู ไอไม่ปล่อยให้ยูเดียวดาย โฮมอะโลนหรอกเพื่อนรัก
แล้วการจะทำทุกอย่างให้มีประสิทธิภาพน่ะ เพื่อนต้องมีอำนาจเบ็ดเสร็จ การเมืองต้องนิ่ง คุมสภาให้อยู่หมัด เพื่อนอย่าเพิ่งมึน

แหม! นี่ะถ้าไม่บอกว่า พี่มะกันพูดกะป๋าสฤษดิ์น่ะ ท่านผู้อ่านอาจเผลอนึกว่า พี่มะกันพูดกับพี่น้องนักซุกว.5 ยุคปัจจุบันเลย

ดังนั้นไทยแลนด์เพื่อนรัก เพื่อนจงรีบจัดการ เรื่องการบ้านการเมืองบ้านยูให้เรียบร้อย หลังจากนั้น ก็ดำเนินการพัฒนาประเทศเป็นการด่วน
ไอได้ทำการสำรวจ และทำข้อแนะนำไว้ให้ยูเรียบร้อยแล้ว เห็นไหม ไอรู้ใจเพื่อนรักขนาดไหน

ยูรีบไปดูแล จัดต้ังหน่วยงานพัฒนาเสียโดยดี เพื่อนจะรออะไรอีก เงินไม่มี ไอก็จะให้กู้
โอ้ย! เพื่อนใจป้ำอย่างนี้หาได้ง่ายที่ไหน

คุณป๋ารีบหายป่วยเลย กลับบ้านเรียกประชุมมิตรรักนักเพลงที่คอเดียวกับพี่เบิ้มมะกันเป็นการด่วน
เร็ว ๆ พวกเรา คอมมิวนิสต์มันจ่อก้นเราแล้ว เราต้องช่วงชิงประชาชนกลับมา นำความเจริญไปสู่เขา ฯลฯ

แหม นกแก้วรุ่นพ่อก็ท่องคล่องเหมือนกันนะ นึกว่ามีแต่นกแก้วสมัยนี้





ตอนที่ 6 จะดื่มโค๊ก หรือจะแทะเม็ดกวยจี๊
ตอน 6/5

ระหว่างที่คุณป๋าสฤษดิ์รักษาตัวอยู่ที่สหรัฐ น้าหนอมเป็นนายกก็จริง แต่เริ่มมีรัศมีของลุงตุ๊ หนวดจิ๋ม ขึ้นมาบดบัง คุณป๋าก็ร้อนใจ โอ๊ย ! ไหนจะเรื่องคอมมี่ ไหนจะเรื่องหนวดจิ๋ม

พี่เบิ้มนี่น่ารักจริง ๆ ไม่ปล่อยให้คุณป๋าร้อนใจนานหรอก คนรักกันชอบกัน ทำมั้ยทำไม เรื่องแค่นี้จะทำให้กันไม่ได้ พี่เบิ้มเขาทำอะไรให้นะ ใจเย็น ๆอ่านต่อไป

คุณป๋ากลับมาถึงไทยแลนด์ ทันทีในเดือนตุลา 2501 ก็สั่งปรับ ครม.
ระหว่างนั้น ก็มีคนช่วยนั่งเตรียมแผนให้คุณป๋ามีอำนาจเบ็ดเสร็จ ตามที่มีผู้ปรารถนาดีแต่ประสงค์ร้ายแนะนำเอาไว้

ช่วงกลางปี พ.ศ. 2502 (ค.ศ. 1969) คุณป๋าก็เดินทางไปอังกฤษ อ้างว่าจะไปตรวจสุขภาพ

รายงานของ CIA อ้างว่า คุณป๋าไปเตรียมแผนปฏิวัติอยู่ที่ Sunning Dale ใน London หอบเอาคณะมันสมองไปด้วยประมาณ 1 โหล
ชื่อเด็ด ๆ ในรายงานบอกว่ามี ถนัด คอมันตร์ หลวงวิจิตรวาทการ สุนทร หงส์ลดารมภ์ บุญชู จันทรุเบกษา พงษ์สวัสดิ สุริโยทัย เฉลิมเกียรติ วัฒนางกูร ฯลฯ

ระหว่างเตรียมการรัฐประหาร CIA ระบุในรายงานของตนว่า เป็นการเตรียมตัวของไทยแลนด์ เข้าสู่การพัฒนาตาม Pax America ให้บรรลุผลสำเร็จ พี่เบิ้มต้องรีบเอาผ้าเช็ดหน้ามาอุดปาก น้ำลายมันไหลเยิ้มไม่หยุด อู้ย! หมูกำลังเต๊าะแต๊ะ ๆ เข้าอวยแล้ว

รายงานของ CIA ยังบอกอีกว่า ได้ส่งกำลังมาอารักขาครอบครัวของคณะท่าน Sunning Dale โดยส่งครอบครัวไปซ่อนในที่ปลอดภัยที่หัวหิน มาแล้วไง ค่ายนเรศวร บอกแล้วว่าให้จำไว้ อย่าลืม ๆ โดยมีขบวนรถของสหรัฐเตรียมพร้อมตลอดเวลา เพื่อนำครอบครัวของคณะ Sunny เผ่นลงใต้ หากแผนล่ม!

19 ต.ค. 2502 คุณป๋าและคณะเดินทางกลับประเทศไทย

20 ต.ค. 2502 น้าหนอมยื่นใบลาออกจากการเป็นนายกฯ วันเดียวกันนั้น คุณป๋าก็ปฎิบัติการยึดอำนาจ โดยคณะทหารที่เรียกตัวเองว่า “คณะปฎิวัติ” แล้วคุณป๋าก็ตั้งตัวเองเป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ และให้น้าหนอมเป็นรองหัวหน้าคณะฯ

CIA รายงานว่าการรัฐประหารครั้งนี้มุ่งลดอำนาจลุงตุ๊ และทำให้คุณป๋ามีอำนาจเบ็ดเสร็จ

Pax America เดินหน้าอย่างไม่มีอุปสรรคแล้ว ดื่ม Coke แก้กระหายด่วน (โฆษณาให้ฟรี จะส่งเงินมาสมทบก็ไม่ขัดข้อง)





ตอนที่ 7 สมันน้อยลงหม้อ
ตอน 7/1

ไม่ช้าไม่นาน สภาพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ก็ถูกก่อต้ังขึ้นในปี พ.ศ. 2502 (ค.ศ.1959)
สภาพัฒน์ฯ ควรบันทึกไว้ด้วยว่า เลขาธิการสภาพัฒน์ฯ คนแรก ชื่อนายพจน์ สารสิน (พจน์ อีกแล้ว!)

อย่างที่เล่าไว้ตอนแรกๆ แผนพัฒนาเศรษฐกืจ ฉบับที่ 1 ได้ถูกทำขึ้น โดยใช้วิธี
แปลรายงานของ World Bank ทั้งฉบับ เป็นภาษาไทย ฝ่ายไทยไม่ต้องออกแรง
หัวสมองอะไร แค่แปลแล้วนำก็มาใช้เป็นแผนแม่บท ของแผนพัฒนาเศรษฐกิจ ก็เท่า
น้ันเอง

รายการที่ไทยแลนด์ต้องพัฒนาเป็นการด่วน คือระบบสาธารณูปโภค ด้านไฟฟ้า น้ำประปา ปรับปรุงระบบขนส่ง สร้างถนน สร้างท่าเรือ สร้างเขื่อน อ่างเก็บน้ำ และ สร้างสนามบิน!

สังเกตดูให้ดีนะพี่น้อง สิ่งที่พี่เบิ้มเขาให้เราทำน่ะ มันอะไรกันแน่

แล้วจะเอาเงินที่ไหนมาปรับปรุงระบบต่างๆ มาก่อสร้างตามรายการ และระยะเวลาที่
กำหนดไว้ในแผน มันเกินกว่างบประมาณไปหลายจี๋นะ เดี๋ยวก็จะกลายเป็นคนเคยรวยเร็วไปหน่อยมั้ย คุณป๋ารำพึงดังๆ

แน่นอน พีเบิ้มหูไว ก็ติดเครื่องดักฟังไว้ทั่วราชอาณาจักรไทย ได้ยินดังนั้นก็บอกว่า
สมันน้อยไม่ต้องห่วง เดี๋ยวไอจัดให้ !

ไอหาเงินกู้ดอกถูกไว้ให้ยูแล้ว ของWorld Bank ไงล่ะ สำรวจเอง เขียนเอง ให้กู้เอง ไม่รู้สึกแปลกกันบ้างเหรอไง ว่าแล้วชาวเราก็กระโดดลงหม้อตุ๋นด้วยความขอบคุณ

โปรดรับทราบว่า ไทยสร้างสนามบินตามแผนพัฒนาฯ ด้วยเงินกู้ ทั้งหมด 7 แห่ง
คือ อู่ตะเภา ตาคลี อุบล อุดร โคราช น้ำพอง และนครพนม พัฒนาประเทศไทยจริงๆ
ชาวบ้านยังขี่สองล้อ สามล้อกันอยู่เลย คุณพ่อให้สร้างสนามบิน เฮ้อ เกินจะบรรยาย มันจะให้กู ขี้สามล้อ วิ่งเล่นในสนามบินหรือไงนะเนี่ย

สาธารณูปโภคที่สร้าง ก็อยู่ในจังหวัดที่สร้างสนามบิน หรือใกล้เคียง นั่นแหละเช่น ถนนสายอู่ตะเภาโคราช สายพิษณุโลกขอนแก่น ถนนพวกนี้ตามรายงานของ ซีไอเอ เขา เรียกว่า ถนนยุทธศาสตร์! พัฒนาประเทศไทยจริงๆ

นอกจากนี้ยังสร้าง สถานีเรดาร์ที่อุดร อุบล ศรีราชา ฯลฯ
สถานีเรดาร์ ใหญ่ที่สุดอยู่ที่อุดร ชื่อสถานีรามสูร มีอุปกรณ์ตรวจสอบครบเครื่อง
บริเวณกว้างขวางขนาดมีสนามกอล์ฟ 9 หลุม สระว่ายน้ำขนาดโอลิมปิค ฯลฯ
มีพนักงานชาวอเมริกัน1,000คน และลูกจ้างชาวไทยอีก 1,400 คน รวมพนักงานทั้งหมด 2,400 คน

มันจะเอาไว้ดักฟังสัญญาณดาวอังคารหรือไงวุ้ย

ที่สำคัญ สถานีนี้ไม่อนุญาตให้คนไทยทั่วไปเข้าในบริเวณ แล้วมันอยู่ใแผนพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทย ได้ไงเนี่ย

หลังสงครามเวียตนามเลิก อเมริกาถอนทัพออกจากประเทศไทย แต่ลืมถอนสถานีรามสูรกลับไปด้วย ยังฝากไว้ในสถานที่แห่งหนึ่งของประเทศไทย เอาไว้ดักฟังหนุ่มสาวไทยจีบกันหรือไงไม่รู้ เพราะฉะนั้นทุกเรื่องที่เรากระซิบกันน่ะ พี่เขารู้หมดน่ะ เรื่องนี้ข้าพเจ้าเล่าแล้วก็เสี่ยงกับการถูกจับอย่างยิ่ง



ตอนที่ 7 สมันน้อยลงหม้อ
ตอน 7/2

คิดออก มองเห็นหรือยัง อเมริกามหามิตรมอบของขวัญแบบไหนให้ไทยแลนด์
ล้วงกระเป๋าเขา ไปซื้อของของขวัญให้เขานะตัวเอง หลงดีใจ!

ที่นี้เข้าใจหรือยัง แผนพัฒนาเศรษฐกิจ น่ะ มันวางไว้ก่อนแล้ว มันเตรียมการพัฒนาบ้านเรา เพื่อใช้บ้านเราเป็นฐานไปรบกับคอมมี่ที่เวียตนาม จะเอารถบรรทุกทหารหัวทองวิ่งมาบนท้องนาได้ไง บางแห่งถนนยังไม่มี มีแต่ทางเกวียน สนุกจริง ๆ

ต้องไม่ลืมถนนมิตรภาพที่อเมริกาสร้างให้ไทย ที่คนไทยภูมิใจหนักหนาด้วยนะ วันเปิดถนนทำพิธีใหญ่โต ไปยืนตบมือกันเปาะแปะ เอารถไปทดลองวิ่งกันเป็นแถว แหม! มันเรียบดีนะ เอาถ้วยกาแฟวางหน้ารถไม่หกเลยจ๊ะ เฮ้ย! ไม่ทันคิดว่าถนนนี้เป็นเส้นทางหลักที่พี่เบิ้มเขาจะใช้ในการลำเลียงพลและอาวุธยุุทโธปกรณ์เอาไว้ไปรบกะเวียตนาม

มันคล้าย ๆ บ้านเรายังกินข้าวด้วยมือเปิบอยู่น่ะนะ วันดีคืนดีก็มีคนให้ของขวัญ เราก็ดีใจเปิดกล่องของขวัญออกมากลายเป็น มีดกับส้อม เขาบอกว่าเอาไว้ใช้เวลาไอมาทานข้าวบ้านยูไง ของขวัญแบบนั่นน่ะ เข้าใจไหม

เตรียมการเรื่องแผนพัฒนาเศรษฐกืจ เพื่อให้ไทยแลนด์แดนสวรรค์มีถนน มีน้ำไหล ไฟสว่าง ทางดี (แต่ยังไม่มีงานทำ 555) สนามบินก็สร้างแล้ว ตำรวจสารพัดนึกก็มีแล้ว เหลืออะไรล่ะที่เรายังไม่ได้ให้ไทยแลนด์ทำ
กองทัพไงจ้ะ ไทยแลนด์ต้องมีกองทัพอันเกรียงไกร เอาไว้ป้องกันประเทศ เอาไว้กันไม่ให้
พวกคอมมี่ มันขยายตัวแหลมเข้ามาแถวนี้

ตั้งแต่ พ.ศ. 2504 ถึง 2515 ตลอดเวลาที่อเมริกา นำทัพสู้ในสงครามเวียตนาม ไทยมีส่วนสำคัญในการรบเคียงขาเคียงบ่าเคียงไหล่กับอเมริกา รวมไปถึงการรบในลาว และกัมพูชา
ตลอดเวลาดังกล่าว มีทหารอเมริกันอยู่ในประเทศไทย น้อยสุด 50,000 นาย และมากสุดถึง 200,000 นาย มีเครื่องบินขึ้นลงทั้งหมดใม่น้อยกว่า 70, 000 เที่ยว บินไปปฏิบัติการรบทั้งที่ เวียตนาม ลาว และกัมพูชา

ที่น่าสนใจ การที่สหรัฐเข้ามาใช้ประเทศไทยเป็นฐานทัพ โจมตีเวียตนามและเพื่อนบ้าน สหรัฐไม่เคยทำข้อตกลงอย่างเป็นรูปธรรมกับไทย มันเป็นความพอใจของทั้ง 2 ฝ่าย ฝ่ายสหรัฐก็ไม่ต้องการมีข้อผูกมัด แค่มาใช้บ้านเขาเฉย ๆ เอง ฝ่ายเจ้าของบ้านคือรัฐบาลก็ O.K งุบ ๆ งิบ ๆ อย่างนี้ดีกว่า ไม่มีใครรู้ เงินช่วยเหลือเข้ามาเท่าไหร่ ส่วนไหนของวัด ส่วนไหนของกรรมการ อู้ฟู้กันเป็นแถว ๆ

และที่เหลือเชื่อไปกว่านั้น พี่เบิ้มอ้างว่าปฏิบัติการที่ใช้ไทยเป็นฐานทัพน่ะ เป็นปฏิบัติการลับเสีย 99% เพราะฉะนั้นเกือบทุกครั้งที่เครื่องบินรบของพี่เขาจะบินขึ้นจากฐานทัพ
(ที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย) พี่เขาไม่ต้องขออนุญาตไทย ไทยแลนด์ยูไม่ต้องยุ่ง เดี๋ยวความลับรั่วไหลเหมือนท่อน้ำประปาบ้านยู
ทหารไทยก็ใจกว้าง ตกลงงั้นไอมอบอำนาจให้ยูอนุมัติบินได้เลยนะ ทูตอเมริกันประจำไทย ขณะนั้น (นาย Martin) จึงเป็นคนอนุมัติ กดปุ่ม O.K.!

สิทธิสภาพนอกอาณาเขตยุคสงครามเวียตนาม ประชาชนคนไทยรู้ไหมเป็นเมืองขึ้นเขาไปแล้ว! แล้วจะไม่บอกว่าทหารไทยนี่เป็นยอดดวงใจของพี่เบิ้มอเมริกาได้ยังไง ยังไม่จบเรื่องยอดดวงใจนี้ มีหลายภาค ค่อย ๆ อ่านไป



ตอนที่ 7 สมันน้อยลงหม้อ
ตอนที่ 7/3


เห็นชัดหรือยัง ลองเรียบเรียงดู การสำรวจของ World Bank แผนพัฒนาเศรษฐกิจ การตั้งสภาพัฒน์ การพัฒนาประเทศ การให้ความช่วยเหลือโดย CIA แก่กรมตำรวจ การให้ความช่วยเหลือแก่กองทัพไทย การควบคุมจัดตั้งการเลือกตั้ง การควบคุมการเมืองไทยทั้งทางตรงทางอ้อม มันโยงกันไหม และทำเพื่ออะไร ผลประโยชน์ของใคร

อาจมีผู้เห็นแย้งว่า ไทยก็ได้ประโยชน์ ป้องกันไม่ให้ระบอบคอมมิวนิสต์เข้ายึดครองประเทศไทย
แต่ถามว่าแล้วเรามีวิธีป้องกันด้วยวิธีอื่นหรือไม่ ที่ไม่ต้องเปลี่ยนประเทศกลับหัวกลับหางหกขะเมนตีลังกา เช่นนี้

เมื่ออเมริกาถอนฐานทัพออกไปจากไทยเมื่อปี พ.ศ. 2517 (ค.ศ. 1974) ประเทศไทยมีสภาพเป็นอย่างไร ผู้ที่เกิดไม่ทันสมัยนั้น ลองไปหาประวัติศาสตร์อ่านกันดูหน่อย รีบ ๆ ทำความรู้จักไว้ เพราะเหตุการณ์เช่นสงครามเวียตนาม ฐานทัพ และวัฒนธรรมอเมริกัน การควบคุมชีวิตของคนไทยโดยการเมืองและกองทัพของอเมริกา อาจกลับมาอีกครั้ง
และครั้งนี้ถ้ากลับมาอีก ไทยเรายังจะมีประเทศเหลือหรือเปล่า ไม่แน่ใจ

หยิบกระดาษมา 1 แผ่น ด้านซ้ายเขียนต่อต้านระบอบคอมมิวนิสต์ ด้านขวาเขียนพัฒนาเศรษฐกิจประเทศ เพื่อนำเข้าทุนนิยมเสรี เปลี่ยนประเทศทำเกษตรกรรม เป็นประเทศอุตสาหกรรม ดูทีละด้าน ก็ไม่รู้ว่าเรื่องเดียวกัน แต่ลองเอามาร้อยเรียงกัน เหมือนต่อจิกซอว์ เราน่าจะเห็นว่า นี่มันคือการล่าอาณานิคมยุคใหม้ ที่แนบเนียน ชนิดถ้าไม่ทำ CSI ก็จับผู้ร้ายไม่ได้เด็ดขาด

พี่น้องที่รักทั้งหลาย จงอย่างดูอะไรที่ละด้าน ที่ละชิ้น หัดมองภาพรวม หัดต่อภาพให้เป็น แล้วจะได้เห็นภาพใหญ่ พวกสื่อเขาไม่ทำให้เราหรอก เขาเสนอทีละภาพ ทีละเหตุการณ์ จิกซอว์ที่ละตัว เราก็เห็นก็ตามเท่าที่เขาเสนอให้ดู แล้วยิ่งถ้ามันเสนอแบบฟ้อกย้อมล่ะ
จะรู้ได้ยังไง ว่าที่สีฟ้า ๆ น่ะ มันน้ำ หรือท้องฟ้า สีเขียว ๆ น่ะมันดอลล่า์ หรือใบตอง
ที่แน่ สีทอง ๆ อย่านึกว่าเป็นทอง อาจเป็นอย่างอื่นก็ได้นะ

ภายใต้ Pax Americana หรือ การขยายระบบทุนนิยมของอเมริกา
ไทยแลนด์แดนเนรมิต ต้องแต่งตัวใหม่ ทั้งด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง เพื่อให้ทุนนิยมอุตสาหกรรมเข้ามาในบ้านเราได้เต็มที่ พี่เบิ้มจึงทั้งบีบทั้งบี้ ถึงขนาดขู่ว่าถ้าไม่เป็นเด็กดีจะตัดงบช่วยเหลือ good boy เลย ต้องออกพรบ.ให้พี่เบิ้มเต็มพิกัดในพ.ศ. 2505 เช่น

พรบ.ส่งเสริมการลงทุนเพื่อกิจการอุตสาหกรรม เป็นการจูงใจให้นักลงทุน ต ด (แปลว่าต่างด้าว) เต็มที่

พรบ.งบประมาณ และตั้งสนง.งบประมาณ ไทยแลนด์ยูจะได้ไม่เอาเงินช่วยเหลือไปใช้จ่ายรุ่ยร่าย เงินของไอนะ

พรบ.ธนาคารพาณิชย์ จะได้เข้ามาตรฐาน ต ด (ต่างด้าว) เปิดทางให้ ต ด มาลงทุน

แล้วดูตอนนี้ซิ ลงทุนกันไปถึงไหน ธนาคารชื่อไทยน่ะ ทุนไทยเหลือแค่ไหน
เป็นของฝรั่งตาน้ำข้าวหัวแดง ตาตี่หัวดำ อย่าง สิงคโปร์ขี้ข้าฝรั่งเข้าไปเท่าไหร่
ถ้าอยากรู้ตัวเลข จริง ๆ ทำใจแข็ง เปิดดูรายงานของธปท. ของคุณพี่ประสาร ก็พอรู้
รู้แล้วอย่าเป็นลมก็แล้วกัน แหม!

เรื่องนี้ถ้าเล่าขบวนการสมคบอันชั่วร้ายของขบวนการทุนนิยมเสรีแล้ว
พี่น้องอาจอยากเปลี่ยนใจไปใช้เงินพดด้วง!

นอกจากนี้พี้เบิ้มยังแนะนำ (บังคับ!) ให้สมันน้อยยกเลิกรัฐวิสาหกิจ 150 แห่ง ที่
ตั้งมาตั้งกะสมัยคณะราษฎร์ (อันนี้มันส์พะยะค่ะ เล่นเอาพวกปล้นเจ้า หน้าจ๋อยไปเลย)

เพราะว่าการเป็นรัฐวิสาหกิจ หมายความว่า รัฐเป็นผู้ดำเนินกิจการเอง ควบคุมเอง
ทุนต่างด้าว ทุนนิยมเสรีจะเข้ามาค้าแล้วรวยได้อย่างไรเ มัน ก็เหมือนเล่นไพ่กับเจ้ามือ มันจะไปได้กินเจ้ามืออย่างไร ดังนั้นพี่เบิ้มบีงคับให้มีทั้งการตัด การตอนรัฐวิสาหกืจให้
หดและหายไปในที่สุด

ทฤษฏีตอนไม่ให้โตน่ี้น่ะ แปรรูปรัฐวิสาหกืจ ก็ยังใช้เล่นต่อเนื่องมาถึงทุกวันนี้ เห็นฤทธิ์
ทุนนิยมเสรีหรือยัง มันมาทั้งได้ในรูปทุนนิยมต่างด้าว และทุนนิยมเผด็จการไทย
ชาวประชาอย่างเราๆ ก็มีแต่จนแห้งตายซาก ทั้งขึ้น ทั้งล่อง
รูปถ่ายเอกสารข้างล่าง คือ รายงานของ Pentagon ระดับ Top Secret
ลงวันที่ September 5, 1956 เรื่อง US Policy in Mainland Southeast Asia ส่วนที่พูดถึงการ ความจำเป็น ที่จะต้อง สนับสนุน ผู้นำไทย
ที่พร้อมจะ ทำงานกับพี้เบิ้ม และ การใช้ประเทศไทย เป็นศูนย์กลาง ในการสู้รบ
กับคอมมิวมิสต์
พูดง่ายๆ เป็นใบสั่งให้มาเกี้ยว คุณป๋าสฤษดิ์ หัวหน้าสมันน้อย น่ะ




ของแถม!

ลองอ่่านเอกสารข้างล่างนี้ดู เป็นเอกสารของ Pentagon อีกเหมือนกัน
อันนี้ สนุก เป็นรายงานของ รองประธานาธิบดีอเมริกา Lyndon Johnson ถึง ประธานาธิบดี J F Kennedy เมื่อ May 23,1961
อ่าน ข้อ 8 ดู จะเห็นชัดเจนว่า พี่เบิ้มคุมเข้มสมันน้อยไทยแลนด์ เพราะอะไร
ใครอยากอ่านทั้งฉบับ บอกมานะครับ จะหาทางส่งให้ อ่านแล้วตัวใคร ตัวมันนะครับ
ถูกตาม ห้ามซัดทอดผม 555







บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #9 เมื่อ: ตุลาคม 29, 2013, 09:04:04 AM »

ตอนที่ 8 ผลประโยชน์ VS ภาระ
ตอน 8/1

พ.ศ. 2506 คุณป๋าสฤษดิ์ก็หมดบุญ น้าหนอมของป๋าจงก็ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 10 อีกครั้งหนึ่ง
พี่เบิ้มบอกว่าน้าหนอมน่าเอ็นดู แต่เด็ดไม่ขาด ไม่มีบารมี การสั่งการจากที่เคยคุยแต่กับคุณป๋าคนเดียวก็รู้เรื่อง ที่นี้ก็ต้องคุยเป็นพวง ถนอม ประภาส จิตติ ทวี กฤษณ์ ฯลฯ
แล้วไง ทำเป็นไม่รู้เรื่อง คุย 1 คน จ่าย 100 คุย 5 คน ก็เอา 5 คูณ
พี่เบิ้มถึงจะรวยก็ขี้เหนียวนะ มาเล่นวิ่งผลัด 100x5 กับไอนี่ ไอไม่ชอบนะ

ช่วงนั้นสถานการณ์ด้านการรบก็กำลังเข้ม การบริหารประเทศไทยแลนด์ของยูก็ไม่มีเอกภาพ แบ่งชามข้าวกันอยู่นั้น เอ้า! พจน์ สารสิน (อีกแล้ว!) ยูมาคุมกระทรวงพัฒนาแห่งชาติหน่อย อย่างน้อยไอก็ไม่ต้องปวดหมองด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ เดี๋ยวเงินไหลเข้าไหลออกมันจะสะดุด แล้วพจน์ ยูก็มาทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงระหว่างน้าหนอมกับไอด้วยนะ เวลาพี่เบิ้มจะเอาอะไรก็บอก good boy ชื่อพจน์ พจน์ก็ไปบอกน้าหนอม ไม่งั้นสั่งอะไรน้าหนอมก็พยักหน้าอย่างเดียว ไม่รู้ว่ารู้เรื่องหรือเปล่า

สถานการณ์วิ่งผลัดก็ดำเนินไปเรื่อย ๆ เขาเข้ามาใช้บ้านเราเป็นฐานทัพ ทั้งบก เรือ อากาศ นี่ดีว่าไม่มีเรือดำนำนะ ถามว่าภายใต้พันธะอะไร ข้อตกลงอะไร เคยรู้กันบ้างไหมว่า เขาเข้ามากันเปล่า ๆ ไม่เคยมีสัญญาข้อตกลงเป็นรูปธรรมเลยระหว่างสหรัฐกับไทย ก็มันสมประโยชน์กันทั้ง 2 ฝ่าย สหรัฐก็ไม่ต้องแจง Congress ของตัวเอง
ไทยก็ไม่ต้องแจงสภาเพราะทุกอย่างอยู่ในกำมือ บอกแล้วเงินช่วยเหลือเข้ามา ก็คนละหนุบละหนับ เขียนแล้วมันเศร้าใจ

ทหารอเมริกันก็ไม่ต้องขึ้นศาลไทย เครื่องบินจะบินขึ้นไปทิ้งบอมบ์เขาก็เป็นคนอนุมัติ เขาจะขนทหารเข้ามาเท่าไหร่ เราก็ o.k, o.k
นี่คือสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ยุคสงครามเวียตนาม แล้วนึกว่าหมดแล้วหรือ เปล่าเลยแล้วให้จำสัญญา JusMac ปี 1950 ที่ท่านนายพลคนแปลก เป็นผู้ลงนามไว้ บอกไว้แล้วว่าสัญญานั้นยังมีชีวิตอยู่ สัญญานี้มีผลอย่างไร เกี่ยวกับปัจจุบันหรือไม่ โปรดติดตาม อย่าได้ขาดตอนเชียว



ตอนที่ 8 ผลประโยชน์ VS ภาระ
ตอน8/2

ช่วงปี 2507-2511 คอมมิวนิสต์เริ่มรุกเข้าอีสานบ้านเรา พี่เบิ้มก็ทุ่มเงินใส่ให้พัฒนาหมู่บ้านและตชด. กับตำรวจภูธร เพื่อดูแลหมู่บ้าน ตอนนี้เข้าใจแล้วใช่ไหม ทำไมเขาต้องตั้งตชด.และตั้งตำรวจภูธรให้เรา ทหารนั้นเอาไปรบกับเวียตกง โว้ย! สั่งทุกอย่างเหมือนเป็นบ้านตัวเองเลยนะ เงินที่พี่เบิ้มให้มาผ่านโครงการ MAP (Militay Asristance Program) โดยให้ผ่านหน่วยงาน USIS และ USOM ปีละตั้งหลาย (ประมาณ 100 ล้านเหรียญต่อปี)

พี่เบิ้มเขาก็เป็นห่วงว่าเงิน MAP นี่มันจะไปใช้สนับสนุนกีฬาวิ่งผลัด 100x5 เท่าไหร่ จะถึงตชด.เท่าไหร่ จึงเข้ามาวางแผนเข้าไปถึงระบบพัฒนาหมู่บ้านเอง จัดสรร งบเอง

เพื่อไม่ให้กีฬาวิ่งผลัดเบิกบานเกินไป และเพื่อให้การเมืองไทยมีเสถียรภาพ สามารถรับใช้การปฎิบัติงานของเจ้าของเงินได้อย่างราบรื่น พี่เบิ้มก็ต้องการให้ไทยแลนด์มีการเลือกตั้ง เป็นประชาธิปไตยจริง ๆ เสียที เพราะว่าค่าใช้จ่ายกีฬาวิ่งผลัดมันชักจะสูงไปแล้วนะ แทนที่จะคุยกับนักกีฬาวิ่งผลัด คุยกับรัฐบาลมันน่าจะประหยัดค่าใช้จ่ายไอมากกว่านะ แต่ต้องเป็นรัฐบาลจากพรรคที่ไอเลือกให้ เป็นรัฐบาลนะ

คิดกลับไปกลับมา พี่เบิ้มก็ปวดหัวว่าจะใช้บริการของใครดีหนอ น้าหนอมน่าจะดีที่สุด ท่าทางนอนง่ายสอนง่าย ไม่ค่อยมีพยศ รายงานของ CIA ระบุว่า สหรัฐมีแผนที่จะให้กลุ่มถนอมเป็นผู้บริหารประเทศไทยต่อไป ดังนั้นจึงมีการเจรจากับทูตอเมริกันนามว่าคุณ Martin ให้อเมริกาสนับสนุนการตั้งพรรคของกลุ่มถนอม ได้ยินเสียงตัวแทนฝ่ายไทย คล้าย ๆ เสียง นายพจน์ สารสิน บอกเลือกตั้งน่ะนะ มันต้องใช้ทุนแยะอยู่ ถ้ายูช่วย พวกไอก็ไม่ต้องไปเอาจากพ่อค้า ซึ่งส่วนมากเป็นคนจีน ยากจะเดาว่าจะเอียงหน้าไปอยู่ข้างไหน

รายงาน CIA บอกว่าทูต Martin นำเรื่องนี้ไปเสนอต่อ 303 Commtilee ปรากฎว่าทาง Washington ก็ถามกลับมาว่า คุ้มแน่นะ คำตอบก็อยู่ในสายลม ที่พัดไป แล้วก็เงียบหาย

ระหว่างนั้น ไทยแลนด์ก็เลยมีข่าวลือว่าจะมีการปฎิวัติน้าหนอม โดยกลุ่มทวี จิตติ กฤษณ์ บ้าง ลุงตุ๊ บ้าง แต่ระยะหลังข่าวปฎิวัติโดยลุงตุ๊มาแรงส์ แหม มันประจวบเหมาะอะไรเช่นนั้น บังเอิญจริงนะ




ตอนที่ 8 ผลประโยชน์ VS ทรัพยสิน
ตอน 8/3

ช่วงข่าวปฏิวัติโดยลุงตุ๊ ทูต Martin ก็หมด term กลับบ้าน ทูต Unger มาแทน คุณ good boy นามพจน์ ก็ไปเตือนทูตใหม่ อีกว่า ยูจะเอายังไง ข่าวปฎิวัติมาแรงนะ ถ้ายูจะให้ถนอมเป็นนายกนี่ต้องเร่ง ๆ หน่อย เราจะตั้งพรรคแล้วหนา เงินที่ว่าจะช่วยยังไม่มาเลย
ทูตตั้งคำถาม 20 คำถาม แล้วก็มีประโยคทองตอบไป เป็นเกียรติประวัติว่า “Trust us-We know what to do” ไอรวยจะตายยูไม่ต้องห่วง ธุรกิจแยะไปหมด น้ำดำไทยแลนด์นี่ก็ของไอนะ (ไม่ได้ค่าโฆษณาไม่เขียนให้รอบสอง!)

ทูต Unger ได้ยินประโยคทอง แล้วก็อ่อนระทวยเขียนรายงาน ชื่อว่า “Lotus Project” ส่งด่วนจี๋ไปยัง Washington ทันทีอีกรอบ

การเลือกตั้งในวันที่ 11 ก.พ 2512 ปรากฎว่าพรรคสหประชาไทยของน้าหนอมได้รับชัยชนะเฉียดฉิวมาก คือ 75 ที่นั่งจาก สส. ทั้งหมด 215 คน เก่งจังเลย!

การเลือกตั้งครั้งนี้สมควร บันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ว่าอำนวยการสร้างโดย CIA
ของแท้ ภายใต้ชื่อว่า Lotus Project
มีนายพจน์ สารสิน เป็น project manger ทั้งนี้เพราะพี่เบิ้มกลัวว่าถ้าการเมืองไทยไม่นิ่ง Pax Americana ที่วางไว้ซับซ้อนก็จะ ฉ ห ดังนั้นพรรคสหประชาไทย
ภายใต้การดำเนินงานของนายพจน์ จึงเกิดขึ้น และชนะการเลือกตั้งและได้นายกชื่อ พล.อ. ถนอม!

ที่เขียนเกี่ยวกับ Lotus Project มาทั้งหมดนี้นี้ อยู่ในรายงานลับของทูต Martin และทูต Unger เองนะ ไม่ได้ยกเมฆ แหม ลับยังไงก็หลุดมาได้น่า สีมือระดับนี่แล้ว เดี๋ยวว่าคุย (ฮา)
โม้มาก สงสัย กลับบ้าน พวกซีมาคอยรับตัวไปเที่ยวแน่ !

Lotus Project ใช้เงินหลวงของพี่เบิ้มอุดหนุน ภายใต้การพิจารณาอนุมัติของ Committer 303 ไปหาดูกันแล้วกันไว้ Committee นี้มันทำอะไร แล้วอย่ามาพูดอีกนะ ยูต้องเป็นประชาธิปไตย เหม็นขี้ฟันจริง ๆ



ของแถมมาแล้วครับ
เมื่อวานเล่าเรื่อง ค่ายรามสูรที่พี่เบิ้มสร้างไว้ที่อุดร สมัยสงครามเวียตนาม มี เครื่องมือดักฟังได้ถึงดาวอังคาร เลิกสงครามแล้ว ทำเป็นลืมเอา




เอามาจากหนังสือที่เขียนโดย ทหารอเมริกันที่เคยมาประจำที่ค่าย
รามสูร สมัยสงครามเวียตนามครับ





ของแถม รายการสำคัญ

รายงานโดยโทรเลข จาก ทูตอเมริกัน ชื่อนายมาร์ติน เมื่อวันที่ 15 กพ 1966
ถึง ประธานาธิบดี สหรัฐ
เกี่ยวกับการร่วมมือที่ดีของไทย อย่างเหลือเชื่อ โดยเฉพาะการอนุมัติการบิน ของ
กองทัพอเมริกัน จากฐานทัพในประเทศไทย
(เล่าอยู่ในตอน 7/2 ครับ)




สภาพในค่ายรามสูร จากหนังสือเล่มเดียวกัน




แถมเพิ่มครับ

เป็นเอกสาร ของ Department of State ของ อเมริกา
ชื่อ Memorandum Prepared for the 303 Committee
Washington, September 28, 1965
เกี่ยวกับการที่ พี่้เบิ้ม จะให้การสนับสนุนทางการเงิน แก่พรรคการเมืองไทย...







« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 30, 2013, 07:55:32 PM โดย jainu » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #10 เมื่อ: ตุลาคม 29, 2013, 09:08:28 AM »

นิทานเรื่องจริง เรื่องจิ๊กโก๋ปากซอย

ตอนที่ 9 ขาดทุน
ตอน 9/1

ระหว่างที่สงครามเวียตนามกำลังเริ่มเข้าขั้นโคม่า ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2510 (ค.ศ. 1967) พี่เบิ้มเริ่มเป็นฝ่ายรับ พี่เบิ้มจึงเปลี่ยนมาใช้แผน 2
(แผน 2 หน้า)
หน้าหนึ่งก็เริ่มให้มีการเดินสายเล่นบทเจรจา ระหว่างรัฐมนตรีตปท.คนสำคัญของพี่เบิ้มกับทางเวียตนาม
คุณจมูกโต Heney Kissinger รมต ตปท ของพี่เบิ้มสมัยนั้น เดินทางเป็นว่าเล่น เหมือนคุณนาย Clinton ตอนรัฐบาล Obama (1) นั่นแหละ
อีกหน้าหนึ่งก็ส่งให้ลูกกะเป๋งทั้งหลาย ก็ใครล่ะ นึกให้ดีนะ ลุยเข้าไปถล่มคอมมี่ต่อ (โปรดสังเกตพวกพี่เบิ้ม เวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน รมต.ตปท. ชีพจรลงเท้าทั้งนั้น ตอนนี้ก็เห็นบินกันว่อน ตามดูรอบตัวเรากันบ้างนะ)

ดังนั้นปฎิบัติการลับในประเทศลาว ซึ่งฝ่ายไทยนำโดย ระหัสเทพ 333 (ไปหาเอาเองนะว่าเป็นใคร) กับฝ่าย CIA อเมริกา
จึงทำงานหนัก บินกระหน่ำถล่มคอมมิวนิสต์ที่ลาว

ผล ลาวแตกเป็น 2 ฝ่าย เมื่อปี พ.ศ. 2518 (ค.ศ.1975) พี่น้องเจ้าลาวถูกเสี้ยมให้แตกกันเอง เจ้าสุวรรณภูมา ผู้พี่ วิ่งไปอยู่ในอ้อมกอดของพี่เบิ้มอเมริกา
เจ้าสุภานุวงศ์ คนน้อง เหม็นฝรั่ง จึงไปซบกับฝ่ายจีน

แล้วลาวก็เปลี่ยนจากประเทศที่ปกครองโดยระบอบกษัตริย์ เป็นประเทศที่ปกครองโดยระบอบสังคมนิยม ตั้งแต่ครั้งนั้นฝีมือใครลองคิดดู
โปรดไปศึกษาต่อน่าสนใจมาก

ไม่ใช่เฉพาะที่ลาว ในสงครามเวียตนามเอง หลังจากทุ่มเงินไปกว่าพันล้านเหรียญ (ใช้เงินมากกว่าตอนอเมริการบในสงครามโลกครั้งที่ 2 !)
ใช้ทหารไปรบประมาณ 500,000 นาย เสียชีวิตไประหว่างรบทั้งหมดเกือบ 60,000 คน ยังไม่นับที่สูญหาย ทุพพลภาพทางกายและจิตใจ อเมริกาก็ออกอาการ ยืนพิงเชือก

ปี พ.ศ. 2512 (ค.ศ. 1969) อเมริกาเสนอขอเจรจาสงบศึกกับเวียตนาม !!!!

มันจะเป็นไปได้ยังไง ?

อเมริกา (อ้างว่า) ลงทุนกับสงครามอินโดจีนมากมาย ทั้งด้านอาวุธ กำลังพล และกำลังทรัพย์ ชาวประชาก็เป็นมึน
กำลังรบกันเข้าฝัก ดันถอยทัพเสียอย่างนั้น ไทยแลนด์งงเป็นไก่ตาฟาง นักวิ่งผลัดวิ่งผล่านชนกันเอง เฮ้ย เฮ้ย เอาไงวะ พวก!

มันเป็นไปแล้ว ก็บอกว่าเล่นแผน 2

วันที่ 25 ก.ค พ.ศ. 2512 ประธานาธิบดีนิกสันก็ประกาศ Guam Doctrine สรุปว่าพี่เบิ้มเปลี่ยนจากเหยี่ยวเป็นพิราบ
(เปลี่ยนง่ายดีนะ ลูกกะเป๋งปรับตัวกันไม่ทันเลยล่ะ) จะไม่ส่งทหารไปช่วยทำสงครามกับประเทศที่ถูกรุกราน (โดยคอมมิวนิสต์)
แต่จะให้ความช่วยเหลือประเทศพันธมิตรด้านเศรษฐกิจ (ฮั่นแน่!) และการทหารแทน แหม! นี่มันพิราบติดกรงเล็บเหยี่ยวนี่นา
หลอกใครไม่รู้

แล้วไงล่ะ ไทยแลนด์ ตอนให้เขาเข้ามาในบ้าน ใช้เป็นฐานทัพ เขาก็ไม่ถาม ไม่เซ็นสัญญา พอเขาจะไป เขาก็ไม่ปรึกษา
บทจะไปก็เก็บฉากไปซะยังงั้น
นักวิ่งผลัดก็หน้ามืดละซิ ที่นี้จะเอาไงดี เงิน MAP ที่พี่เบิ้มเขาเคยให้ปีละ 100 ล้านเหรียญ เขาก็ลดลงเหลือ 20 ฝ่าล้านเหรียญ
ต๊าย ตาย ลดเยอะนะพวก
เดี๋ยวตอผุด เราจะเอายังไงดี



ตอนที่ 9 ขาดทุน
ตอน 9/2

อเมริกาก็ยังเป็นอเมริกา ปากบอกว่าถอนทหาร ถอยทัพ แต่ตาก็ขยิบ
สั่งให้ลูกกะเป๋งไปถล่มเขมร ก็บินไปจากฐานทัพในไทยนั่นแหละ
เหล่านักวิ่งผลัด ก็เลยเห็นโอกาส ยังไม่อยากให้ยี่เกปิดฉาก นายพลเจ้าของสวนทุเรียน (ไปหาชื่อกันเองแล้วกันนะ เขียนมานี่ก็เสียวหลายเรื่องแล้ว) ก็เลยรับหน้าที่ไปเจรจากับพี่เบิ้ม

ได้ไง! ยูสั่งให้ไอบิน ไอก็บิน สั่งให้ไอถล่ม ไอก็ถล่ม บอกไม่ทำสัญญา ไอก็ O.K ทหารยู ทำผู้หญิงไทยท้อง ชกหนูหน้าดำผอมเกร็งแถวอีสานจนงอม ไม่ยอมขึ้นศาลไทย ไอก็ยอมหมดแล้ว
แต่เรื่องจะมาลด MAP นี่เรื่องใหญ่นะ (ของมันเคยได้น่ะ) แล้วต่อไปนี้สั่งใครเขาก็ลำบากนะ ทุกอย่างมันต้องใช้เงินทั้งนั้นนะ (เอะ เดี๋ยว ๆ นี่มันเรื่องสงครามเวียตนาม หรือสงครามไพร่ครองเมืองนะ คนเล่านิทานชักงง เรื่องมันคล้าย ๆ กัน 555)

ระหว่างเจรจาต่อรองกัน การเจรจาสันติภาพที่ปารีสเกิดสะดุด ฮานอยไม่ยอม
อย่านึกว่าหมูนะ พญาอินทรีย์ที่พยายามจะแปลงกายเป็นนกพิราบก็เลยยั้วะ
งั้นสั่งรบต่อก็ได้ (วะ)
คราวนี้ไม่รบแค่ในเวียตนาม พวกญวณแดงอยากหนุนเขมรแดงดีนัก บอมบ์เขมรแม่มซะเลย คราวนี้กำลังรำคาญพี่ไทยที่มาแบมือขอเงินเพิ่ม พี่เบิ้มก็เลยใช้เกาะกวมเป็นฐานทัพ

เจ้าของสวนทุเรียนได้ข่าว ก็รีบถลาไปเจรจาใหม่ (เขาเรียกว่าตื้อน่ะ ถ้าจะให้พูดตรง ๆ) ยูก้อ เราก็คบกันมานาน รู้ใจกัน จะเอาอะไรก็บอก ไอก็จะพยายาม ยูบินจากกวมน่ะ
มันไกลนะ เปลืองน้ำมัน กลับมาใช้ฐานทัพเราเหมือนเดิมเหอะ แต่ MAP น่ะ ลดเหลือ 20 ล้าน มันก็เกินไปนะ ไปคิดใหม่ไป๊!

นิสัยที่ชอบใช้แผน 2 (2 หน้า) ของอเมริกานี่แหละ ก็ไม่ใช่ว่จะรอดหูรอดตาประชาชนและสื่อของตนเองได้ การปฎิบัติการลับในเขมรจึงรั่วออกไป
N.Y Times ลงข่าวใส่สีครบ ทำให้สภาสูงของอเมริกาซักฟอกเรื่องนี้ มีการถามถึงแผนตากสิน (Project 22) และบทบาทของไทยในลาว ข้อตกลง Thanat Rusk
ถึงกับมีประโยคอมตะออกมาเกี่ยวกับไทยว่า ไทยเป็นพันธมิตรดีสุดที่เงินซื้อได้ (“the Thai are the best allies money can buy”) อันนี้ปรากฎอยู่ในรายงานของอเมริกาเอง ข้าพเจ้ามิได้แต่งเติม

เห็นชัดหรือยังเขามองผู้บริหาร หรือรัฐบาลของเราอย่างไร ที่ผ่านมามีอะไรเปลี่ยนบ้าง ได้แต่เดินกุมตามก้นเขา แบมือขอเงินเขา เขาต้มแล้วต้มอีก ยังไม่รู้ตัว ล่าสุด ยังแถมไปยืนกระแดะยิ้มเยิ้มให้เขาจนลือกันไปทั้งโลกไม่มียางเหลือเลยนะ



ของแถมประจำวันนี้

เป็นเอกสารบันทึกการประชุม ที่มีนาย Henry Kissinger รมว ตปท อเมริกา
กับ คณะ การสนทนาส่วนหนึ่ง ทำให้เราเห็นชัดว่า การที่อเมริกาเข้ามาใช้บ้านเราเป็น
ฐานทัพนั้น ไม่มีสัญญา เป็นทางการกับเรา
นาย Habib ผู้ชี้แจง คือ นาย Philip Habib นักการทูต ผู้ชำนาญเกีี่ยวกับเอเซีย
และมีอิทธิพลสูงในช่วงสงครามเวียตนาม






ตอนที่ 9 ขาดทุน
ตอน 9/3

ระหว่างปี พ.ศ. 2512-2516 (ค.ศ. 1969-1973) การเมืองไทยเริ่มมีปัญหาอีกครั้ง

เริ่มจากนายถนัด คอมันตร์ รมต.ตปท.ของไทยเร่งให้อเมริกาถอนฐานทัพจากไทย เนื่องจากนายถนัด รู้อยู่แก่ใจว่าข้อตกลThanant Rusk นี่มันของเก๊
ประโยชน์จริงๆของไทยอยู่ตรงไหนหาไม่เจอ อเมริกายิ่งอยู่นานไทยแลนด์ก็ยิ่งตกอยู่ในกรงอินทรีย์ลึกเข้าไปทุกที กระดิกกระเดี้ยไม่ออก จะเป็นง่อยเปลี้ยเสียขาซะด้วยซ้ำ

แต่ด้านรัฐบาลนายกถนอม กลับยังต้องการให้อเมริกาคงฐานทัพและเงินช่วยเหลือต่อไป
เพราะอะไร ก็คงพอเข้าใจกัน อย่าให้ต้องพูดชัดกว่านี้เลยนะ

อเมริกาเองก็ถูกบีบจากสภาสูง (Congress) ให้รีบเร่งลงนามสัญญาสันติภาพ
กับเวียตนาม เพราะที่ลงทุนไปสร้างเรื่องรบกับเวียตนามเอาใจนักค้าอาวุธที่ควบคุมรัฐบาลอเมริกาอยู่อีกต่อหนึ่งนั่นน่ะ มันชักจะไม่คุ้ม
นักค้าอาวุธได้เงินก็จริง แต่ประชาชนชาวดอกไม้บานในอเมริกาเริ่มจะโวยไม่หยุด เพราะทหารอเมริกันตายเป็นเบือ

แล้วอเมริกาลงนามสัญญาสันติภาพที่ปารีส เมื่อ 28 ม.ค. พ.ศ. 2516 (ค.ศ. 1973) ขณะเดียวกันยังคงกองกำลังทางอากาศขนาดใหญ่และกองเรือในภูมิภาคต่อไป แต่การให้ความช่วยเหลือไทยถูกตัดลดจากปีละ 100 ล้านเหรียญ เหลือปีละ 38 ล้านเหรียญ!

มันเป็นการลดฮวบ ที่เหล่านักวิ่งผลัด ช็อคจนพูดไม่ออก นักวิ่งผลัดเริ่มแตกคอกัน นักศึกษาและสื่อเริ่มประท้วงเรื่องรัฐบาลทหารเผด็จการ ต้องการรัฐบาลประชาธิปไตย

แปลกดีนะ หลังจากเป็นเผด็จการมาตั้งแต่ปี 2504 นะ 12 ปี ไม่เคยมีใครประท้วง วันดีคืนดีการประท้วงก็เกิดขึ้น!
เริ่มมีนักวิชาการ นักศึกษา เรียกร้องหาประชาธิปไตยของจริง

ที่สำคัญมีหมายเหตุในรายงานทูตอเมริกันในไทย ถึงกระทรวงตปท.อเมริกัน บอกว่านักศึกษาชุมนุมเดินขบวนเรียกร้องประชาธิปไตย แต่ไม่มีใครออกมาโวยเรื่องฐานทัพอเมริกาในไทย นึกให้ดี ๆ นะ พี่น้อง หมายเหตุนี้ มันมีความหมาย ลองตีโจทก์กันเองบ้างแล้วกัน

นอกจากนี้ ในรายงานของ CIA ระบุว่านายคิสซิงเจอร์ ในฐานะรมว. ตปท. อเมริกาได้สนทนากับนายลี กวน ยู นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ขณะนั้น เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2516

นายลี บอกว่าสถานการณ์ไทยน่าเป็นห่วงนะ ถ้าเขมรไป ไอว่าถนอม ประภาส คงอยู่ได้ไม่เกิน 18 เดือน ก่อนเก็บของเปิดก้นวิ่งหนีแน่ ยูควรบอกเขานะ ว่ายูจะดูแลเขา ไอคุยกับชาติชายไปแล้ว ว่ายูจะดูแลเขา แต่ยูบอกเองดีกว่า

นาย K บอกว่า นี่ท่านนายก เราก็พยายามอดทนมากนะ เราก็ต้องผ่านความยากลำบากมาเหมือนกัน เราก็ต้องคิดว่าเราจะตัดสินใจอย่างไร

นายลี บอก ยูต้องบอกให้ถนอม ประภาส รู้เรื่องนะ ว่ายูไม่สนับสนุนปฏิวัติ หรือยูจะดำเนินการอื่น

นาย K เราไม่สนับสนุนปฏิวัติหรอก แต่เราจะดูหนทางดำเนินการอื่น

(ไม่ได้นั่งเทียนเขียนขึ้นมาเองนะ บทสนทนาข้างต้นน่ะ อยู่ในรายงานของ CIA ล้วน ๆ)



ของแถมชิ้นโปรด

รายงาน ชนิดลับสุดยอด ข้อความกลายแห่งถูกตัดออก
แต่พอ อ่านได้ ถึงประโยคทอง .."trust us, we know what to do"
จาก ทูต Unger ถึง กระทรวง ตปท อเมริกา เมื่อ August 9, 1968




ของแถมอีกชิ้น

เอกสาร อันนี้เป็น Memorandum เมื่อ February 27, 1967
จาก Asst Secretary of State ถึง Secreatary of State Rusk
เกี่ยวกับการใช้ฐานทัพไทย แบบใช้ของเถื่อน ไม่มีหลักฐาน
เชิญอ่านกันครับ อ่านแล้วรู้สึกอย่างไร บอกกันบ้าง


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #11 เมื่อ: ตุลาคม 29, 2013, 09:06:05 PM »

นิทานเรื่องจริง เรื่องจิ๊กโกปากซอย

ตอนที่ 10 ไทยแลนด์แบรนด์อเมริกา
ตอน 10/1

พอมองออกบ้างหรือยัง เหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 บ้านเรามันเกิดขึ้นมาเอง โดยขบวนการกดดันตามธรรมชาติ หรือมันมีคนแจกใบสั่ง

แล้วลองกลับไปนึกถึงจอมพลคนแปลกดูอีกที มีอำนาจมา 10 ปี อยู่ดี ๆ ก็ถูกรัฐประหาร มันเกิดขึ้นตามธรรมชาติ ของการแย่งชิงอำนาจของนักการเมือง หรือมันเกิดจากความกดดันที่ไม่ใช่ตามธรรมชาติ

ไทยแลนด์ แดนเนรมิต ที่คนไทยอยู่มาในช่วงปี พ.ศ. 2490 จนถึง 14 ตุลา 2516 คนไทยรู้เรื่องและเข้าใจไหม ว่ามันของจริงๆมันเป็นอย่างไร

หรือมันเป็นโลกมายา ถูกสร้าง ถูกกำกับมา โดยใครกันบ้าง

เราอยู่กับสิ่งที่เขายัดเยียดมาให้ตลอด จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนไทย
เรามองเห็นแต่ความเป็นมิตรที่เขาฉาบหน้ามาให้ ความนึกคิด ความฉลาด ความเก่ง แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจ ระบบทุนนิยมเสรี การศึกษา และวัฒนธรรมให้กับเรา จนเราเกือบลืม หรือลืมไปแล้วว่า ความเป็นไทย วิถีไทยเป็นอย่างไร

คนไทยคนไหนบ้างไม่รู้จักกางเกงยีน เชื่อว่าถึงไม่มีไม่เคยใส่ ก็ต้องรู้จักทุกคน
ทุกชาติทุกภาษาในโลกก็เรียก jean ยีน ยีน ยีน
ใครไม่เคยดื่มโค้ก (Coke, coca-cola) อันนี้ไม่ได้ค่าโฆษณาแต่จำเป็นต้องเขียนถึง อย่างน้อยในชีวิตต้องเคยดื่มสักขวดน่า
ปากกาลูกลื่นจำได้ไหม bic ด้ามเหลืองมาจากไหน

ที่สำคัญวัฒนธรรมอเมริกันผ่านมากับหนังฮอลลีวู๊ดทุกเรื่อง !




นิทานเรื่องจริง เรื่อง จิ๊กโกปากซอย

ตอนที่่ 10 ไทยแลนด์แบรนด์อเมริกา
ตอน 10/2

บอกแล้วว่าอเมริกาเป็นนักวางแผน ตัวพ่อ เมื่อจะใช้ไทยเป็นฐานทางเศรษฐกิจ ผลิตอุตสาหกรรม เผยแพร่ระบบทุนนิยมและใช้เป็นฐานทัพในกรณีจำเป็น
เพื่อไม่ให้ไทยแลนด์แปลกหน้ากับอเมริกันชน เขาจึงต้องส่งวัฒนธรรมอเมริกันมาให้เรา ทั้งทางตรงและทางอ้อม เป็นกับดัก สมันน้อยที่สมบูรณ์ที่สุดของนักล่า
ศัพท์พวกซีไอเอ เขาเรียกว่า soft power ถ้า hard power ก็ตัวใครตัวมันเน้อ

ทางตรง อเมริกาส่งวัฒนธรรมของตน ผ่านการประชาสัมพันธ์ โดยสำนักข่าวUSIS
ของรัฐบาลอเมริกัน ที่ทำหน้าที่คล้ายกับหอยม่วงบ้านเราน่ะ แต่USIS เขามีประสิทธิภาพมากกว่าหอยม่วง หลายเท่า

ข่าวที่ส่งออกมา ก็มีแต่ข่าวกี่ยว กับอเมริกา อเมริกา อเมริกา ให้ชาวเรารู้จัก
มีการแจกเอกสาร ใบปลิว สาระพัด

ที่สำคัญ อเมริกา ปลูกต้นไม้การศึกษาแบบ ฝั่งรากลึกให้กับชาวเรา โดยการให้ทุนฟูลไบรท์ ถึงระดับปริญญาโท
ส่วนวัยรุ่น อเมริกาก็ปลูกฝัง ผ่านโครงการ AFS (เด็กไทยก่อนจบม.ปลาย อายุประมาณ 18 ปี ให้ไปเรียนต่ออเมริกา 1 ปี กินฟรีอยู่ฟรีกับครอบครัวคนอเมริกัน จะได้กลับมาทำท่าเป็นเด็กอเมริกัน คิดเป็นเด็กอเมริกัน จะเอารายชื่อไหม ใครที่ผ่านทุนนี้ และตอนนี้อยู่ในขบวนรถ good boy good girl ของคุณพ่ออเมริกา)

สมัยอเมริกาประกาศให้ทุน AFS ใหม่ๆ ชาวเราเห่อกันเหมือน พี่น้องเห่อโปรแกรม อเคเดมีแฟนตาเซีย อะไรทำนองน้ัน ลูกผู้ลากมากดี เศรษฐีเก่า เศรษฐีใหม่แห่กันไปสอบ
เพียบ เฮ้อ ...

นอกจากนี้อเมริกายังตั้งมูลนิธิ Asia Foundation มูลนิธินี้ให้ทุน อาจารย์ นักศึกษา
สื่อ ฯลฯ ไปทำปริญญาโท เอก ที่อเมริกา แบบไม่มีข้อผูกพันธ์ อาจารย์มหาวิทยาลัย
ดัง ๆ ศิษย์เก่าทุนนี้ทั้งนั้น ที่น่าสนใจหลายคน ไม่เอาสถาบัน!

ทางอ้อม อเมริกา นำวัฒนธรรม ความคุ้นเคย มาคลุก กับชาวบ้าน ผ่านหน่วยงาน Peace Corp.
พวกนี้หน้าฉากก็เข้าไปคลุกกับชาวบ้าน ช่วยสอนหนังสือ บางคนถึงกับลงทุนอยู่กับ
ชาวไร่ ชาวนา แต่ของจริง ทุกคนมีหน้าที่ทำความรู้จักคนไทย ความคิดไทย และใส่ผงชูรสยี่ห้ออเมริกันเข้าไปให้คนไทย ส่วนใหญ่พวกนี้สังกัด CIA !

เดี๋ยวนี้ อดีต Peace Corp. หลายคนก็ยังอยู่ในไทย ฉากหน้าเปิดร้านอาหารบ้าง นักวิเคราะห์หุ้นบ้าง นักธุระกิจบ้าง อยากรู้จัก โน่น เดินเข้าไปใน Sports Club ถามหาพี่เจฟ หรือลุงคลอสเนอร์ แล้วกัน ฮ่า ฮ่า !

ที่สำคัญ วิถีอเมริกันที่ไทยเราคุ้น ไม่มีอะไรเหนือไปกว่าหนังฮอลลีวู้ดที่เราเสพติด เขาสร้างให้เรารู้จักเรื่องราวของชนชาวอเมริกันและดารา แล้วเราติดตามข่าวพวกเขายิ่งกว่าข่าวญาติของเรา

อย่าเข้าใจผิด นิทานเรื่องนี้ไม่ได้สอนให้เกลียดอเมริกา แต่อยากให้รู้จักเขาจริง ๆ
คนเราจะคบ จะรัก จะชอบ ต้องรู้จักเขาก่อน ว่าจริง ๆ เขาเป็นอย่างไร และที่สำคัญเขามองเราอย่างไร ต้องการอะไรจากเรา จริงใจกับเราแค่ไหน จะได้ไม่เพ้อเจ้อเข้าใจผิด
รู้ว่าควรจะคบเขาแค่ไหน และอย่างไร


ของแถมวันนี้ มาดึกหน่อยครับ

เป็น เอกสาร Memorandum ที่ นาย Henry Kissinger รมว ตปท อเมริกา
มีไปถึง ประธานาธิบดี Nixon เมื่อ October 15, 1973
รายงานสถานะการณ์ หลังเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลา

ในรายงานตอนหนึ่ง ระบุว่านายสัญญา ผู้ซึ่งได้รับการแต่งต้ังจาก พระเจ้าอยู่หัวให้เป็น
นายกฯ จะต้องจัดการให้ได้รับการสนับสนุนจากกองทัพ ซึ่งยังเป็นผู้มีอำนาจที่แท้จริง
และยังอยู่ในกำมือของถนอม และรัฐบาลที่ถูกล้มไป
และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องภายในประเทศ ประเด็นเรื่อง ฐานทัพอเมริกาใน
ประเทศไทย ไม่ได้เป็นประเด็นหลัก...




วันนี้ ตอนแรกผมว่าจะส่งของแถมให้ท่านผู้อ่านนิทานก่อน

แต่นึกได้ว่า เมื่อวานนี้ ส่งของแถม เป็นเอกสารข้างล่างนี้ไปให้ท่านผู้อ่าน แล้วถามว่า ท่านอ่านแล้วรู้สึกอย่างไรกันบ้าง

ปรากฏว่า ยังไม่มีใครบอกมา ผมก็คอยนะครับ เพราะอยากรู้จริงๆ
เพราะตัวผมเองอ่านแล้ว มันเศร้า ว่าบ้านเมืองของเรา อยู่ในมือนักการเมืองจริงๆ
แล้วแต่ว่า พวกเขาจะดูแลจัดการกันอย่างไร ซึ่งเราก็เห็นตัวอย่างจากเอกสาร ชิ้นนี้แล้วว่า เขาปล่อยให้ต่างชาติมันใช้บ้านเรา ยังกะเราเป็นเมืองขึ้นเขา โดยชาวเราไม่รู้เรื่องกันเลย นั่นมันสมัยเมื่อ 40, 50 ปีมาแล้ว นี่ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นๆ นะครับ เอาที่เกี่ยว
กับนิทานเรื่องนี้อย่างเดียว

แล้วตอนนี้ล่ะครับ ผ่านมาต้ังครึ่งศตวรรษ (นานนะครับ !) เราอุตส่าห์ต่อสู้
พยายามใส่สิทธิของเรา ในเรื่องที่สำคัญทำนองนี้ ไว้ในรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบัน

แล้วไงครับ ตอนนี้พวกเสียงข้างมาก มันก็จะตัดสิทธิเรา โดยจะแก้ ม 68, ม 190 ปิดหูปิดตาปิดปากเราอีก! มันจะเป็นอย่างนี้ไปตลอดหรือยังไง?!?
คนเล่านิทาน ขออนุญาตบ่นหน่อยนะครับ




นิทานเรื่องจริง เรื่องจิ๊กโกปากซอย

ตอนที่ 11 ฝากลูกน้องคุมซอย
ตอน 11/1


ท่านผู้อ่านนิทาน อ่านกันมาถึงตรงนี้แล้ว คงพอจะรู้จักจิกโก๋ นักล่ารุ่นใหม่ หมายเลข 1 กันบ้างแล้ว
และคิดว่าจิกโก๋เขาจะจบแค่เวียตนามหรือ เปล่าหรอก หมดธุระเรื่องเวียตนาม เขาได้อย่างที่ต้องการ ตามใบสั่งของนายทุนผู้ค้าอาวุธ ซึ่งกุมคอหอยจิกโก๋อีกที แล้วเขาก็เปลี่ยนเข็มทิศ

มองไปทางไหนหนอ อ้อ ทางไหนก็ได้ที่มีทรัพยากรของคนอื่น ที่เขาอยากได้ไง

น้ำมัน น้ำมันไง มาถึงแล้ว จิกโก๋มันแสนรู้

เมื่อทุนนิยมเข้าไปที่ไหน อุตสาหกรรมก็เกิด เมื่อมีอุตสาหกรรม ก็ต้องอาศัยพลังงาน
ทั้งไฟฟ้า และ น้ำมัน แหม! แล้วใครล่ะ ที่มีน้ำมันมีมาก ก็พวกคุณอาทั้งหลาย แถวทะเลทรายไงล่ะ

ดังนั้นแผนของนักล่า ตั้งแต่ช่วงหลังสงครามเวียตนาม จึงเพ่นพ่าน ถือไม้สามง่ามเล็งหาน้ำมัน นู่นไปนู่นเลย ไปหาประวัติศาสตร์อิหร่านแตก พระเจ้าชาห์หนี ซาอุดิอารเบียจับมือกับอเมริกา สงคราม Gulf War ระหว่างคูเวต อิรัก อเมริกา จนถึง สงครามอิรัก ขอไม่เล่ารายละเอียด เพราะวันนี้จะเขียนที่เกี่ยวกับไทยแลนด์จัง ๆ ก่อนนะ แต่ถ้าไม่บอกเดี๋ยวท่านผู้อ่านนิยายก็จะงงว่าแล้วไง มันหายไปจากบ้านเรา แล้วมันไปไหน ไปทำอะไร

ก็อย่างว่า จิกโก๋เขาไม่ได้หายไปไหนหรอก มันก็ไปทำมาหากิน ขุดเผือกขุดมันขุดน้ำมันของคนอื่นเขาละซิ เราก็นึกว่าเขาไม่ยุ่งกะเราแล้ว เปล่าหร๊อก มันแค่เปลี่ยนแนว เหมือนหนังฮอลลีวู้ดเปลี่ยนฉากน่ะ ไม่ต้องตื่นเต้น บทเขาเขียนไว้ต่อเนื่อง ตั้งกะปีมะโว้ อีกร้อยปีก็เล่นไม่จบ เว้นแต่มันจะจบกันไปคนละข้างก่อน

ระหว่างที่จิกโก๋ ย้ายซอยไปขุดเผือกขุดน้ำมันที่อื่น บ้านเราก็อ้างว่าเป็นช่วงเวลาพัฒนาประชาธิปไตย ที่ จิกโก๋หว่านเมล็ดพันธ์ไว้ ทุกคนก็ร่ำร้องหาแต่ประชาธิปไตย (ตอนนี้ยังหาอยู่เลย ลูกพระยาพหล อยู่ไหมจ๊ะ ป่านนี้แก่หง่อมหรือลาขึ้นสวรรค์ไปแล้วก็ไม่รู้)
บ้านเมืองเราก็ล้มลุก หกขะเมนตีลังกาตั้งแต่ 14 ตุลา พ.ศ. 2516 จนถึง 6 ตุลา พ.ศ. 2519

ถึงจิกโก๋จะไปขุดน้ำมัน เขาก็ใช่ว่าจะลืมสมันน้อยนะ จิกโก๋ชอบทหาร ก็ของมันคุ้น
ของมันเคย รัฐบาลพลเรือน เจอแต่ละคน จิ๊กโก๋ก็มึนเหมือนกัน อย่างอาจารย์สัญญาน่ะ
เหมือนเป็นพ่อพระ จะสั่งให้พระไปทิ้งระเบิดใคร มันง่ายนักเหรอ แล้วอาจารย์คึกฤทธิ์ล่ะ
อีด่า Ugly American ใส่ แถม ยืนคำขาด กำหนดวันที่พี่เบิ้มต้องถอนทหาร
อเมริกันให้หมดจากบ้านเราด้วย ส่วนคุณหอยธานินทร์น้ัน เกินกว่าจะบรรยาย

ว่าแล้วการเมืองไทยก็กลับมาอยู่ในความครอบงำของทหารเหมือนเดิม แปลกดีไหมคิดสิ เป็นไปตามธรรมชาติ หรือมีใบสั่ง อย่าให้ต้องเขียนรายละเอียด เหมือนสมัยคุณป๋าสฤษดิ์ คุณน้าหนอมเลยนะ เอาย่อๆว่าไม่มีอะไรลอดสายตาพญาอินทรีย์หรอก เพียงแต่เขาจะกางกรงเล็บขยุมเราโดยตรง หรือใช้
"วิธีอื่น" เท่านั้นเอง

หลังจากเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 เราก็เลยได้ทหารกลับมาบริหารประเทศอีก

พล.อ. เกรียงศักดิ์ ทำแกงเนื้อใส่บรั่นดี ตั้งแต่ปี 2520-2523
พล.อ. ป๋า เจ้าของวลีเด็ด เราเป็น Jocky ไม่ใช่เจ้าของคอก ทำหน้าที่ Jocky ตั้งแต่ปี 2523-2531
พล.อ. น้าชาติ ขวัญใจนักธุรกิจสาวอินเตอร์ ปี 2531-2534

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #12 เมื่อ: ตุลาคม 29, 2013, 09:10:42 PM »

ตอนที่ 11 ฝากลูกน้องคุมซอย
ตอน 11/2

ช่วงทหารมีอำนาจบริหารบ้านเมือง ยุคหลัง 14 ตุลา 2516 ต่างกับ ช่วงก่อน 14 ตุลา 2516 อย่างน่าสนใจ

อย่างที่เล่ามาตอนแรก ก่อน 14 ตุลา 2516 เรามีจอมพลคนใส่หมวกแล้วชาติเจริญ คุณป๋ารักชาติ และเหล่านักวิ่งผลัด การพัฒนาประเทศช่วงนั้น ถูกกำกับโดยแผนพัฒนาเศรษฐกิจและผู้เชี่ยวชาญต่างชาติมาดเข้ม เดินประกบหน้าประกบหลังไทยแลนด์ เอาผ้าห่มวัฒนธรรมอเมริกัน ห่อไทยแลนด์เสียมิดชิด จนไทยแลนด์ลืมไปเลย ว่าไทยแท้เป็นยังไง จำได้แต่ไทยแลนด์แบรนด์อเมริกัน

แต่รัฐบาลคุณทหารช่วงหลัง 14 ตุลา 2516 ผู้เชี่ยวชาญต่างชาติถูกอัญเชิญออกไปแยะ จากปัจจัยภายในประเทศเราและประเทศเขา แต่พี่เบิ้มเขาก็ไม่ปล่อยเกียร์ว่าง เขาควบคุมด้วยวิธีแยบยล ให้เราใช้เหล่าข้าราชการที่เรียกว่า technocrat มาช่วยคุณทหาร บริหารประเทศ

Technocrat เหล่านี้เป็นใคร

ก็เป็นต้นกล้าที่คุณพ่อหว่านเอาไว้

เขาเหล่านั้นเป็นนักเรียนนอก เติบโตมาภายใต้ระบบการศึกษาและแนวคิดของฝรั่ง เรียนแบบถ่ายสำเนาอัดก๊อปบี้ออกมาเลย คุณพ่อฝรั่งว่าขาวก็ขาวด้วย คุณพ่อว่าดำก็ดำด้วย นี่สี่เหลี่ยม นี่กลม โอ้ย! ท่องจำกันได้หมด แล้วก็กลับเอาคำท่องจำมาใช้สอนต่อ หรือมาใช้ทำงานในบ้านเรา

ดังนั้นไม่ต้องห่วงหรอกจ๊ะ สมันน้อยไม่ไปไหน คุณพ่อฝรั่งไม่อยู่ คุณพ่อก็ให้พวก good boy technocrat เด็กในคาถา มาทำหน้าที่ดูแลแทน

นี่ยังไง นักวิชาการ ข้าราชการ สื่อ ฯลฯ ที่ถูกฟอกย้อมเอาไว้เรียบร้อยไม่รู้ไม่รู้ตัว หรือรู้ตัว แต่มันก็เป็นของย้อมน่ะ แล้วจะมีอะไรเหลือ ไทยพันธ์แท้หายไปไหนหมด เหลือแต่ไทยแลนด์แบรนด์อเมริกา!

แต่เรื่องทุกเรื่องมันก็มีหักมุมนะ คุณน้าชาตินี้แกใช่ย่อยที่ไหน ถึงจะเป็นทหาร แกก็ไม่ได้ฟังเทคโนแครตมากนัก แกตั้งที่ปรึกษาบ้านพิษขึ้นมาเอง พวกนี้ก็มีพิษไปอีกแบบ
ไทยแลนด์ก็เลยเหมือนหนีเสือปะจรเข้ หนีชะนีไปเจอค่าง อะไรอย่างนั้นแหละ

รัฐบาลคุณน้าชาติ เป็นตัวแปรที่สำคัญ ต้องศึกษากันให้ดีๆ

คุณน้า แกมีนโยบายล้ำเลิศ จะเปลี่ยนสนามรบ เป็นสนามค้า แกคิดโครงการ
แต่ละอัน เด็ดสะระตีทั้งนั้น จะค้าขาย มันก็ต้องมีท่าเรือมารองรับการขนส่ง นั่นมาแล้ว Eastern Sea Board จะติดต่อค้าขายกัน การสื่อสารมันก็ต้องทันสมัย จะใช้นกพิราบไปเรื่อย ๆ ไม่ไหวมั้ง คุณน้าก็ให้คิดโครงการ 3 ล้านเลขหมาย คิดเรื่องดาวเทียม! คิดโครงการขนส่ง Hopewell ระบบทางด่วน ฯลฯ คุณน้าแกช่างคิดหาตังค์จริง ๆ ต้องยอมรับ ไม่งั้นจะได้สมญารัฐบาลฟาสต์ฟูตเหรอ

โครงการต่าง ๆ เหล่านี้ มันมูลค่ามหึมา  3 เกลอหัวแข็งที่มัวแต่ไปวุ่น ๆ อยู่ทางอื่นของโลก ก็หันขวับจนคอเคล็ดมาดู เออ! เฮ้ย! มันกำลังจะทำอะไร สมันน้อยทำไมไม่บอกไอ นี่มันเรื่องผลประโยชน์ทั้งนั้น พวก good boy tecnocrat เด็ก ๆ ของเราหายไปไหนหมด ทำไม่มันไม่เตือน เขากำลังจะเข้าฮ๊อสกันหมดแล้ว


นิทานเรื่องจริง เรื่องจิ๊กโก๋ปากซอย

ตอนที่ 12 ลองดีจิกโก๋
ตอน 12/1

พี่เบิ้มหายไปไหน ถึงได้ตกข่าวขนาดนั้น ก็พี่เบิ้มกำลังไปขุดเผือกขุดน้ำมันไง
ตั้งแต่ช่วงปี 1973 (2516) ระหว่างที่เห็นลางว่า รบกับพวกแกวนี่ท่าทางกูจะเหนื่อย เอาเครื่องบินไล่ถล่มอยู่ดี ๆ มันทะลึ่งหนีลงรูไปหมด พี่เบิ้มไม่โง่นี่ จะได้มุดรูดตาม พี่เขาก็เลยหาทางไปรับประทานทางอื่นต่อดีกว่า

พี่เบิ้มก็เข้าไปยุให้อิรัก อิหร่าน มันรบกัน ป่วนเรื่องอียิปต์ อิสราเอล และ ซาอุ
หนุนคูเวต สาระพัดละ ก็แถวนั้นมันบ่อน้ำมันทั้งนั้น

บอกแล้ว จำง่าย ๆ เวลาพี่เบิ้มเขาอยากได้อะไร เขาก็ต้องสร้างเรื่องให้ประเทศเจ้าของบ้าน มันวุ่น มันงง แล้วในที่สุดก็เละ เขาจะได้เข้าไปได้สดวก โดยเจ้าของบ้านไม่รู้ตัว
ก็สูตรธรรมดา จะไปขะโมยของบ้านเขา รอบรั้วการป้องกันเขาแข็งแรง จะขะโมยได้ง่ายยังไง เสือใบ เสือดำ นักปล้นรุ่นโบราณของบ้านเรายังรู้เลย จะปล้นเขา ก็ต้องรอให้มันมืด มอมเหล้าเด็กแถวบ้านมันบ้าง ปล่อยหมาให้มันไปกัดกันหน้าบ้านบ้าง ปาก้อนอิฐใส่บ้าง พอเจ้าของบ้านมันงง ก็ค่อยเขย่งเก็งกอย เข้าไปหยิบฉวยสมบัติเจ้าคุณปู่เขาออกมา ก็เท่านั้น

เรื่องทุกเรื่องที่พี่เบิ้มเขาทำ มันสูตรทำนองนี้ ทั้งนั้น แต่มันสร้างเรื่อง ทำฉากให้ใหญ่โต
ก็ติดนิสัยนักสร้างหนังฮอลลีวู้ดไง ถ้าเราดูอะไรแบบตรงไปตรงมา อย่าไปตื่นเต้นกับฉากมโหฬาร ถามตัวเองก่อน ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเนี่ยใครได้ ใครเสีย วิเคราะห์เองบ้าง ก็จะมองเห็นละนะคุณโยม ไม่ต้องไปหาหมอดู ถามมันวันละ 3 ครั้งให่เสียเงินเปล่าๆ ว่าบ้านเมืองมันเราจะเป็นยังงัย มันจะแย่ไหม

เอ้ากลับมาที่คุณน้าขวัญใจนักธุรกิจสาวอินเตอร์
เรื่องดาวเทียม เรื่องโทรศัพท์ 3 ล้านเลขหมาย นี่มันเรื่องใหญ่นะ ใหญ่ยังไง
ก็แหม ดาวเทียมนี่ เอามาลอยตุ๊บป่องจัดวางให้ถูกองศา ส่องไปที่ไหนนี่นะ ไม่อยากพูดเลย เหมือนดูหนังโป๊ สิว ไฝ ฝ้า หูด แผลมีตรงไหนเห็นหมด

แล้วการกำหนดองศา slot ของดาวเทียมนี้ มันมีองค์การที่ทำหน้าที่กำหนดตำแหน่งดาวเทียม ที่แต่ละประเทศก็มีสิทธิจองกัน
นี่ถ้าเราให้สมันน้อย จององศาให้ถูกที่เราต้องการนะ อาเฮียกำลังนั่งแทะเม็ดกวยจี้เกาหูด ไอก็เห็นทุกช็อต เฮ้อ! แล้วจะปล่อยให้หลุดมือไปได้ยังไง

ส่วน 3 ล้านเลขหมายนะ มันเรื่องจ้อย มันอยากจะจ้อกันทั้งวันก็ช่างหัวมันเต้อะ
แต่การจะใช้ 3 ล้านเลขหมายนี้นะ มันต้องวางเครือข่ายไฟเบอร์ออพติคทั้งประเทศ ทั้งใต้ดิน บนดิน ใต้น้ำ ใครกระซิบ ใครส่งข่าวอะไร สายบ้านี่มันจับได้หมด

แหม! มีทั้งบนฟ้า มีทั้งบนดิน ใต้ดิน บวกกับค่ายรามสูรที่ไอแกล้งทำลืม ไม่เอากลับตอนเลิกรบกับเวียตนามนะ ไทยแลนด์ ไอไม่ต้องจ่ายค่าวิ่งผลัด อย่างเมื่อก่อน ไอก็คุมได้ เข้าใจไหมสมันน้อย

แล้วจะปล่อยให้มันหลุดมือไปได้ยังไง ต้องเล่าให้ชัดกว่านี้มั้ย
อ่านนิทานมาจนบัดนี้แล้วน่ะ หัดตอบโจทย์เองบ้าง ไม่ต้องไปรอใครทำหน้าฉลาดตอบให้หรอก

แล้วมันจะบังเอิญไปหน่อยไหม อยู่ดี ๆ ก็เกิดเรื่องพฤษภาทมิฬ
คุณทหารทั้งหลายก็ลุกขึ้นมาแย่งอำนาจกัน บี้กันไปบี้กันมา เหล่าม๊อบมือถือแห่ง
ไทยแลด์แดนสวรรค์ ก็หน้ามุ่ยออกไปประท้วง ทั้งลุงจำลอง ลุงฉลาด แย่งกันอดข้าว อดน้ำ

แล้วไง พอถึงเวลา ต้ายตาย ดร.อาทิตย์ ปล่อยให้คุณน้าสมบุญเป็นพ่อสายบัว แต่งชุดขาว ภู่ระหงส์เหี่ยวรออยู่กับบ้าน แต่ดันไปอุ้มคุณน้านัน tecnocrat แห่งซิบวีนัสขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี

พี่น้องคิด ๆ ดูแล้ว ไม่แปลกใจบ้างหรือจ้ะ เมืองไทยนี้สมกับเป็นแดนแห่ง Amazing Thailand จริ๊ง จริง




ตอนที่ 12 ลองดีจิ๊กโก
ตอน 12/2

คุณน้านัน ผู้ดีเก่่า นี่น่าสนใจ !

สมัย สงครามเวียตนามช่วงท้าย ระหว่างที่คุณลุงถนัดออกมาอาละวาด ฟาดงวงงา เรื่องพี่เบิ้มไม่ยอมทำสัญญาจริง ๆ จัง ๆ กับไทย คุณน้านันเป็นทูตไทยประจำ UN
คุณน้าเลยต้องเป็นตัวแทนฝ่ายไทยไปเจรจากับพี่เบิ้มตลอดเวลา ( สมัยนั้นอาจารย์
คึกฤทธิ์ เป็น นายกฯ)

เสร็จการเจรจา รายงานฝ่ายอเมริกาบอก Mr. A นี่เป็นคนที่เราจะต้องจับตามอง เขาเป็นคนที่เราจะพูดคุยได้รู้เรื่อง (เหมือนกับ Mr. P รุ่นปู่เจ้าพ่อน้ำดำเลยนะ)

เอ้า! ก็อย่างว่า แล้วคุณน้านัน ก็มาเป็นนายก เป็นแล้วเป็นอีก ช่วงปี 2531 ถึง 2535 เขาว่างานแรกที่คุณน้านันมาจัดการ ก็คือเรื่องที่ค้างคา (คาใจพี่เบิ้ม! )
เป็นที่เรียบร้อย

 3 ล้านเลขหมาย เขาว่า (อีกแล้ว) คุณน้าเรียกมาแบ่งเค้ก เอ้ย! เจรจาเองเลยนะ บริษัทของพี่เบิ้มตกรอบ ไม่ได้เป็นผู้ให้บริการ 3 ล้านเลขหมาย ไม่เป็นไร ยูรับเหมาวาง fiber optic ไปแล้วกันนะ แหะแหะ สมใจนึกบางลำภู ทำท่าหงอย ๆ รับ ok ok กลับไปรายงานข้ามโลกว่า We win!

แล้วดาวเทียมล่ะ เสร็จโก๋ท้องถิ่นหน้าใหม่เอี่ยมเหลี่ยม นายหน้าเหลี่ยมแจ้งเกิด ได้สัมปทานดาวเทียมเอาไปกอดอยู่ 15 ปี ต่อมาขายให้สิงคโปร์ กำไรบานตะเกียงไม่เสียภาษีซักกะแดง หนุ่ยลูกป้าเหน่ง ทำงานเป็นเสมียน เงินเดือน ๆ ละ 20,000
ยังเสียภาษีเดือนละ 2,000 บาทเลย เป็นงงเอาฝ่าเท้าก่ายหน้าผาก รำพึง มันทำได้ไงวะ

พูดถึงดาวเทียม ข้อมูลมันน่าสนใจ ไม่รู้ลืมกันหมดหรือยัง ไม่เล่าสู่กันฟัง มารู้ภายหลัง เดี๋ยวจะมาต่อว่ามีของดีแล้วไม่บอก




ตอนที่ 12 ลองดีจิ๊กโก๋
ตอน 12/3

ดาวเทียมไทยคมนี้ นายหน้าเหลี่ยมเขาได้ไปก็จริง แต่ขบวนการมันน่าคิดนะ
ตอนไปขอสัมปทานกับรัฐน่ะ ยังต้องให้เจ๊กระบัง ตากหน้าไปแลกเช็คอยู่เลย เอาเงินจากไหนมาคิดสร้างดาวเทียมน่ะ มันดวงละ 100, 200 บาท ซะเมื่อไหร่ ไม่ใช่ลูกโป่งนะ

อ๋อ! ก็กู้เงินจาก Exim Bank (Export Import Bank) ของพี่เบิ้ม ที่สนง.ใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงวอชิงตัน ดี ซี ซิจ๊ะ อา! มาแล้ว เริ่มเห็นหัวโผล่ ๆ มาแล้วใช่ไหม เดี๋ยวนี้พี่น้องฉลาดจะตาย อ่านนิทานไปไม่เท่าไหร่ พอจะปะติดปะต่อกันได้ อิ! อิ!

มันไม่เท่านั้นนะนาย กู้เงินจาก Exim Bank แล้ว ยังมีธนาคารไทยพาณิชย์เป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ให้อีก เอ! แล้ว ธนาคารนี้มาเกี่ยวอะไร เขาถ้าจะรักฝังใจ เสียดายดาวเทียม ตอนแรกก็ทำคลอดให้ ตอนจบก็ช่วยแต่งศพให้

เอะ! เล่าให้มันรู้เรื่องหน่อยซีลุง

ก็คืองี้ ตอนกู้เงินสร้างดาวเทียม ธนาคารไทยพาณิชย์ก็กรุณาค้ำประกันให้
ตอนจะขายให้ Temasek ของสิงคโปร์ บริษัทลูกของไทยพาณิชย์ ก็เป็นที่ปรึกษาการเงินให้
เสร็จแล้วคนจะซื้อเพื่อไม่ให้ผิดพรบ. คนต่างด้าว ก็ต้องสร้าง nominee (อีนอมาอีกแล้ว) อีนอก็ดันไม่มีเงินซื้อ ไปกู้เงินจากไทยพาณิชย์ เป็นทุนมาซื้อหุ้นดาวเทียม
บริษัทนี้ชื่อกุหลาบแก้วไงจ๊ะ ลืมกันแล้วหรือ แล้วใครเป็นประธานบริษัทกุหลาบแก้วนะ แหม! ไม่อยากบอกเล้ย ! เขาชื่อมิสเตอร์พงส์ ลูกมิสเตอร์ พี แห่งน้ำดำจ๊ะ
มันก็คงเป็นเรื่องบังเอิญอีกน่ะนะ แล้วตอนนี้เรื่องมันถึงไหน ผิดถูกอย่างไร ไปตามหา
กันต่อเองเน้อ

เอ้า ! ยังมีบังเอิญอีก แล้วธนาคารไทยพาณิชย์นี่นะ อีตอนที่ให้กุหลาบแก้วกู้เงินน่ะ
ข่าวว่าประธานธนาคารชื่อคุณน้านัน! โอ้ย! มันบังเอิญทั้งนั้น Amazing Thailand นี่น่ะ

เอ! แล้วตกลงดาวเทียมไทยคม นี่มันเป็นของเหลี่ยมตั้งแต่ต้น หรือเหลี่ยมมีนอกันแน่ คิดมากแล้วปวดหัวนิ

เรื่องบ้านเมืองนี้ มันมีแยะ ตั้งกะ พี่เบิ้มมันเดินยิ้ม จมูกโด่งงุ้ม ย้ายพุงไปมาน่ะ ถึงว่าจะดูอะไร ดูให้ชัด ๆ จะฟังอะไร ก็หัดกรอง สมองมีให้คิด ไม่ใช่มีไว้กั้นหูอย่างเดียว



ของแถมมาแล้วครับ

เป็นเอกสาร การประชุม เมื่อ April 2, 1976 (ต้นปี ก่อนเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ที่บ้านเราจะเกิดขึ้น)

มีนาย Henry Kissinger รมว ตปท อเมริกา เป็นประธานที่ประชุม


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #13 เมื่อ: ตุลาคม 29, 2013, 09:13:49 PM »

นิทานเรื่องจริง เรื่องจิ๊กโก๋ปากซอย

ตอนที่ 13 สันดานจิกโก๋
ตอน 13/1

มีคนมากระตุกแขนนิด ๆ เอ! แล้ว พี่เบิ้มเขาทำไมเปี้ยนไป

จากยุ่งกะสมันน้อยถึงขนาดเอาลงเปลเห่กล่อม แล้วช่วงนี้เขาหายไปไหนล่ะลุง
ก็บอกแล้วไง พี่เบิ้มเขาเป็นจิกโก๋ปากซอย ซอยไทยแลนด์นี้ เขาคุมเบ็ดเสร็จแล้ว วางแผนแล้วว่า ต้องมีวินมอเตอร์ไซด์ ตรงไหน คิวเป็นอย่างไร เขาไม่อยู่ใครดูแลแทน เส้นทางเป็นอย่างไร เก็บเงินอย่างไร ใครมาเบ่ง ตีหัวมันอย่างไร เจอสาวสวยนุ่งกระโปรงสั้นให้นั่งฟรีได้ไหม จัดไว้หมด ว่าแล้ว ก็ขยายไปดูซอยอื่น

เวลาพี่เบิ้มเขาไปยุ่งกับภูมิภาคอื่น จะสังเกตง่าย ๆ ไปอยู่ที่ไหน ความ ฉ ห ก็เกิดขึ้น
แถวนั้นแหละ เพราะอเมริกาหากินหรืออยู่ได้ด้วย 2 กรรมวิธี

อย่างแรก ขะโมยทรัพยากรชาวบ้าน (จิกโก๋ขี้ขะโมย)
อย่างที่สอง สร้างสงครามเพื่อขายอาวุธ (จิกโก๋ชวนตี)
และทั้ง 2 เรื่อง มันก็โยงกัน

ขบวนการก็ไม่ยาก หาเรื่องไปทะเลาะกับชาวบ้าน หรือหาเรื่องให้คนในบ้านทะเลาะกันเอง มีแค่นี้แหละ ดูไม่ยากหรอก

เช่น กรณี Soviet ใช้วิธีปิดล้อม Soviet ยุโรปตะวันออก จนในที่สุดกำแพง Berlin ทะลายในปี 1989
สหภาพ Soviet ล่ม แตกกระจุย แล้วก็รบกันเอง จากเป็นสหภาพโซเวียต ท้ายสุดแตกเป็นหลายสิบประเทศ จนจำชื่อไม่ไหว เล่นเอาพี่เบิ้มผลิตอาวุธไป หัวร่อไป ขายแทบไม่ทัน

สำหรับคุณอาแถวทะเลทราย พี่เบิ้มก็ยุแยง ทำให้แตกกัน วุ่นวายกัน ทะเลาะกันเองเพราะพี่เบิ้มคิดจะขะโมยน้ำมันเขา เลยใช้วิธีกล่าวหาว่าบ้านโน้นหักหลังบ้านนี้
บ้านนี้สะสมอาวุธ สาระพัดจะโกหก
แต่มันก็ได้ผลนะ อิหร่านรบกับอิรัก อิรักรบกับคูเวต อียิปต์ทะเลาะกับอิสราเอล อิสราเอลทะเลาะกับเลบานอน ซีเรียทะเลาะกันเอง ปาเสสไตน์ทะเลาะกับอิสราเอล ตรุกีทะเลาะกับอิหร่าน ตอนนี้อียิปต์กลับมาทะเลาะกันเองอีก ฯลฯ

เป็นไงฝีมือพี่เบิ้มไหม เข้าไปที่ไหน ฉ ห ที่นั่น

ยังไม่พอ ต่อไปยุ่งแถวอเมริกาใต้ อาฟริกา วุ่นไปถึงอาฟกานิสถาน อันสุดท้ายนี้น่าสงสารมาก ประชาชนเขาจนจะตายอยู่แล้ว ยังไปทำให้เขาแตกแยก เพื่อฉวยโอกาสยึดทรัพยากรเขาอย่างหน้าด้านๆ ชั่วได้ใจจริง ๆ

ตัวอย่างที่เห็นชัดหมาด ๆ คือ อิรัก หาว่าเขามีนิวเคลียร์
พี่เบิ้มยืนเท้ากระเอว ชี้นิ้วสั่งให้ UN ส่งคนไปตรวจไปดูเดี๋ยวนี้นะ CNN ก็ประโคมทำข่าวรายงานการตรวจทุกวัน แต่ผลปรากฎว่าไม่เจออะไรในก่อไผ่

พี่เบิ้มเสียหน้า แก้เกี้ยว ยกทัพไปจับตั๊กกะแตนเองเลย รบไป 8 ปี อิรักฉิบหายทั้งประเทศ มีผู้ลี้ภัยหนีไปนอกประเทศ 4.7 ล้านคน (16% ของประชาชน)
ประชาชนพลัดถิ่นในประเทศ 2.7 ล้านคน
เด็ก 5 ล้านคน เป็นกำพร้า (35% ของประชาชน)
เพียงเพราะจิกโก๋อยากได้น้ำมันเขา แล้วไง ตอนยกทัพเข้าไปอ้างว่ามีอาวุธนิวเคลียร์ ผู้นำแบบซัดดัมข่มเหงประชาชน พอเก็บซัดดัมได้ ยึดเมืองเขาแล้วเจอไหม นิวเคลียร์ที่อ้างน่ะ เจอแต่บ่อน้ำมัน!

แบบนี้มันน่าส่งพี่ตุ๊ดตู่ กะป้าธิดาไปทวงถามความเป็นธรรมให้ประชาชนอิรักซะให้เข็ด ! แล้วพี่น้องอย่าลืมไปหาเรื่องสงครามอิรักมาอ่านต่อเป็นอุทาหรณ์นะ เผื่อมันจะมาเกิดแถวนี้จะได้รู้ว่าเรื่องจริงมันเป็นยังไง

แล้วบ้านเราล่ะ พี่เบิ้มเขาใช้วิธีไหน เข้ามาเดินกร่างอยู่ในซอย!


นิทานเรื่องจริง ตำนานการลวง หลอกล่อ ลงหม้อตุ๋น




ตอนที่ 13 สันดามจิ๊กโก๋
ตอน 13/2

ขอพูด ถึงอาฟกานิสถานต่ออีกหน่อย เพราะเป็นเหยื่อพี่เบิ้มที่นาสงสารมาก ถูกเอา
ประเทศเป็นสนามรบมาเกิอบ 20 ปี จนบัดนี้ยังไม่เลิก ประชาชนก็จนลง จนลง

เริ่มตั้งกะรัสเซียก่อน หมอนี่ก็จมูกไว

อาฟกานิสถานได้ถูกระบุอยู่ในรายงานของ Pentagon ว่า เป็นประเทศที่มีแหล่งทรัพยากรแร่ธาตุสูงสุดที่ยังหลืออยู่ในโลก (ก็ที่มี ๆ น่ะ พวกนักล่ามันเอาไปหมดแล้ว เหลือเจ้านี้หลุดตามาได้ ก็เพราะสภาพภูมิศาสตร์ของประเทศ)

รัสเซียเข้าไปก่อน เพราะอยู่ใกล้กว่าพี่เบิ้มอเมริกา
แบบนี้มันหักหน้ากันนี้หว่า จิกโก๋จะทนได้ยังไง ว่าแล้วก็โดดเข้าไป ไอจะปกป้องอยู่เอง จากการคุกคามของรัสเซีย

บทนี้คุ้น ๆ ไหม แหม! คุณโดโนแวน เอ๊ย! จอห์น เวน มาเอง อีกแล้ว
พี่เบิ้มลงทุนฝึกอาวุธให้ชาวอาฟกัน ต่อสู้กับรัสเซีย แถมส่งมือดีไปช่วย มือดีนั้นใคร ทายถูกไม่มีรางวัล แต่ได้ยินเสียงตีนตบ เป๊าะ แป๊ะ มือดีก็คือพี่บิน ลาเดน ไง เอ๊ะ อย่าทำเป็นงง พี่บินมาได้ไงกัน

พี่บิน ลาเดน เป็นเศรษฐีอยู่ซาอุ มิตรรักของอเมริกาเขาไง ซี้ย่ำปึก ไอจะไปบุกที่ไหนยูไปด้วยไม๊ ไปไหนไปกัน พี่บินถึงได้รบเก่ง แถมรู้แกวรู้แนวการรบการจิกโก๋หมด ก็จิกโก๋ฝึกให้เขาเองนะ อาวุธก็ส่งให้จะไปโทษใคร แล้วดันมาแตกคอกันเอง หักหลังกัน ซะหลังหัก
แต่ไม่รู้ใครหักกว่าใคร คงจำกันได้ ตอนพี่เบิ้มสั่งเก็บพี่บิน ภาพพี่บินหลังโดนถล่มที่บ้าน
ลับ น่าขำมาก รูปถ่ายตอนตาย วางหน้ารูปถ่ายเหมือนตอนเป็นเพี๊ยบเลย เพียงแต่
หน้าเหยินกว่าเท่าน้ัน ไม่รู้มันจะหลอกใครกัน

โน่น เล่าไป เล่ามา จนเกือบลืมประเด็นสำคัญ แร่ธาตุ ที่อาฟกานิสถานมีมาก คือโปแตส ยูเรเนียม และทองคำ 2 อย่างแรก เหมาะสำหรับทำอะไร เร็ว เข้าไปกดกูเกิลดู ก็รู้
มันเหมาะสำหรับทำทุกอย่าง เป็นสารนำในการผลิตอุตสาหกรรมและที่สำคัญเหมาะสำหรับทำระเบิดครับผม

แล้วใครล่ะ ผลิตอาวุธ ผลิด ระเบิดขาย จนรวยล้น




ของแถมวันนี้มาดึกครับ

เป็นเอกสาร ต้ังแต่ปี 1951 เป็นรายงานการสนทนา ระหว่าง จอมพล ป สมัยเป็น
นายกฯ กับ นาย Edwin Stanton ฑูดเอมริกา ประจำไทย ซึ่งฑูด มีไปถึงต้นสังกัด

ดูจากเอกสาร เหมือนอเมริกามีความเป็นห่วงไทย ว่าจะมีน้ำมันไม่พอใช้
ดูอีกที มันเป็นการมาล้วงตับเรา เพราะบอกให้ทางไทย แสดงรายละเอียดความต้องการของน้ำมัน ของหน่วยงานของเราแต่ละหน่วย แต่ความจรืงน่าจะเพราะ กลัวน้ำมันไปตกอยู่ในมือคอมมิวนิสต์มากกว่า

สรุป น้ำมัน เป็นประเด็นใหญ่ของจิ๊กโก๋ ต้ังกะสมัยนั้น ถึงสมัยนี้ !?!





คำแถลงจากคนเล่านิทาน

เรียนท่านผู้อ่านนิทานที่เคารพ

1. ผมขอบคุณทุกท่านนะครับ ที่ติดตามอ่าน และ คอยอ่านนิทานตอนต่อๆไปของผม ผมเป็นนคนนอนดึกตื่นสายมาก ดังน้ัน กว่าจะเริ่ม ปั่นเพจ ก็บ่ายไปแล้วละครับ
เพราะฉนั้น ถ้ามาบ่ายก็เป็นเรื่องปรกติครับ อย่าเพิ่งนึกว่าถูกอุ้มนะครับ

สำหรับท่านที่ประสงค์จะอุ้มผม กรุณานัดหมายผ่านหน้าเพจให้ชัดเจน จะให้ไปรอที่ไหน
กี่โมง ท่านจะได้ไม่ต้องเสียเวลาหาตัวผม เพียงแต่ว่า ถ้าจะอุ้มไป ขอเอาไปทั้งครัวนะครับ เพราะผมมันอีลูกช่างกิน

2. ผมเขียนนิทานนี้เพราะอะไร กรุณากลับไปอ่านนิทาน ตอนที่ 1 หน่อยครับ ผมเรียน
ไว้ชัดเจนแล้ว ผมก็เป็นคนรัก ห่วงใย ประเทศชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เหมือนท่านทั้งหลาย เพียงแต่ ผมมันชอบอ่าน ชอบคิด คิดแล้ว ก็อดเอามาแชร์ กับท่านทั้งหลายไม่ได้

3. เอกสารหลายตอนที่เขียน มีการระบุ ถึงบุคคลที่ใกล้ชิดสถาบัน หรือ เป็นผู้มีชื่อเสียง ผมก็ใส่ไปตามจริง ท่านก็ต้องใช้วิจารญาณ ของท่านด้วย ว่า ความน่าจะเป็น มันเป็นอย่างไร เขาเอาคนเหล่าน้ัน ไปประกบติดสถาบัน อย่างแนบเนียน ให้เกิดความเข้าใจผิดต่อสถาบันใช่หรือไม่ คนเหล่าน้ัน รู้ตัว หรือตกเป็นเหยื่อของผู้ใช้ ฯลฯ
การเขียนเรื่องพวกนี้ ไม่ใช่ง่าย การอ่าน ยิ่งยากกว่า

4. ผมไม่ใช่จิ๊กโก๋นะครับ ผมแค่เป็นคนเล่านิทาน

สวัสดีครับ ขอบคุณครับ
29 ตค 56
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 30, 2013, 08:03:17 PM โดย jainu » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #14 เมื่อ: ตุลาคม 29, 2013, 09:18:18 PM »

Thanong Fanclub
ท่านเซ๋อร์ไอแซคเจ้งหุ้นจนเซ่อไปเลย

ืท่านเซ่อร์ ไอแซค นิวตัน (1642-1727) เป็นหนึ่งในนักวิทยาศาสตร์เอกของโลก เป็นผู้ค้นพบกฎของแรงโน้มถ่วงของโลก แต่ไม่สามารถเอากฎนี้มาประยุกต์กับการลงทุนได้ ตำนานเล่ากันว่า วันหนึ่งนั่งอยู่ใต้ต้นแอบเปิ้ลเพลินๆ บังเอิญลูกแอลเปิ้ลหล่นลงมาใส่หัวดังตุ๊บพอดี นักวิทยาศาสตร์ระดับโลกจะไม่ปล่อยให้เหตุการณ์แบบนี้ผ่านไปเป็นอันขาด โดยไม่คิดหรือแสวงหาคำตอบ เพราะว่าการหล่นลงมาของลูกแอบเปิ้ลจากต้นไม้เป็นปรากฎการณ์ที่ยิ่งใหญ่ และไม่มีอะไรบังเอิญในโลกนี้ ท่านเซ่อร์เลยตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำไมแอบเปิ้ลถึงตกใส่หัวของตน แต่ไม่ลอยออกไปนอกโลก อ้อก็เพราะว่ามีแรงดึงดูดนั่นเอง อันนำไปสู่การคิดค้นทฤษฏีแรงโน้มถ่วงของท่านเซ่อร์

ในช่วงนั้นฟองสบู่ของเงินกระดาษและตลาดหุ้นเป็นปรากฎการณ์แล้วในยุโรปโดยที่นักวิทยาศาสตร์ยังไม่เข้าใจ เพราะมัวไปสร้างทฤษฎี ทำการทดลองผสมสูตรในห้องทดลองอยู่ ในปี1637 ราคาของดอก Witte Croonen ทูลิปพุ่งทะยาน26เท่า ก่อนที่จะหล่นฮวบลงมาเหลือแค่1ส่วน20ของราคาที่ขึ้นไปสู่ระดับสูงสุดเมื่อหนึ่งอาทิตย์ก่อนหน้านี้

อีก8ปีต่อมา John Law ร่อนเงินกระดาษในระบบเศรษฐกิจของฝรั่งเศส และขายหุ้นในบริษัท Mississippi Company ประชาชน นักลงทุนแห่กันซื้อหุ้นในบริษัทนี้ที่เป็นเพียงบริษัทกระดาษเปล่าๆ ไม่มีทรัพย์สินอะไรทั้งสิ้น หุ้นของบริษัทนี้เพิ่มถึง20เท่าในหนึ่งปี ก่อนที่จะราคาจะพังลงมาอย่างไม่เป็นท่า John Law ผู้เป็นฮีโร่ช่วงตลาดบูม ต้องหนีออกนอกประเทศอย่างหมดรูป

ข้ามทะเลไปยังเกาอังกฤษ ราคาหุ้นของบริษัทSouth Sea Companyโดนดันขึ้นมาจาก300ปอนด์ มาเป็น1,000ปอนด์ภายในไม่กี่สัปดาห์ ท่านเซอร์ ไอแซคนิวตันหวังรวยเร็วกับเขาด้วย ลืมทฤษฎีแอบเปิ็ลไปเลย ท่านเซ่อร์เข้าไปซื้อหุ้นปั่นนี้ โดยเข้าซื้อตอนเช้า และออกตอนบ่ายแล้วได้กำไร Day Trade เขามีมาตั้งแต่สมัยนั้นแล้ว และเมื่อท่านเซ่อร์กลับเข้าไปซื้อหุ้นบริษัทนี้ใหม่ตอนราคาพีค และรีบกระโดดออกมา ไม่ทันการเสียแล้ว ท่านเซ่อร์ติดบนดอย หมดตัวเจ้งหุ้นอย่างไม่เป็นท่า

ท่านเซ่อร์ไอแซคอาจจะเข้าใจทฤษฎีแรงโน้มถ่วงอย่างดี ว่าอะไรก็ตามที่ขึ้นไปสูงแล้ว ต้องหล่นลงมาเพราะแรงดึงดูดของโลก แต่ไม่เฉลียวใจเลยว่าหุ้นที่ถูกปั่นขึ้นไปแล้ว ย่อมต้องตกลงมาเหมือนกัน หรือถ้าท่าเซ่อร์รู้ว่าหุ้นตัวนี้ต้องโดนแรงโน้มถ่วงเล่นงาน แต่อาจจะคำนวนความเร็ว (velocity)ผิด ออกตัวไม่ทัน ทฤษฎีแรงโน้มถ่วงได้มา ต้องแลกกับหัวโน ทฤษฎีหุ้นปั่นฟองสบู่ได้มาด้วยกับการหมดตัว ท่านเซ่อร์เจ้งจนกลายเป็นเซ่อจริงๆ

thanong
29/10/2013






http://www.caseyrese...bles-dont-exist



บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2 3 ... 18   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: