Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 13 14 [15] 16 17 18   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: read read readingggggggggggggg  (อ่าน 12760 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #210 เมื่อ: ธันวาคม 17, 2016, 10:10:18 AM »

มินิซีรี่ส์
 4. วิถีพอเพียง

การที่คนส่วนมากไม่เข้าใจในวิถีพอเพียงที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูอดุลยเดชทรงมอบไว้ให้เป็นมรดกสำหรับคนไทยและมวลมนุษยชาติ เพราะว่ายังติดอยู่ในความคิด ไม่ใช้ใจเพื่อทำความเข้าใจ

เวลาใช้ความคิด เราจะตั้งคำถามโน่นคำถามนี่ มันเป็นอย่างนั้นจริงหรือ มันผ่านการพิสูจน์แล้วหรือยัง เชื่อได้จริงหรือ ฯลฯ คิดไปคิดมาก็ยังติดอยู่ในความคิด

แต่ถ้าเราใช้ใจเพื่อทำความเข้าใจ เราจะเข้าใจว่าวิถีพอเพียงเป็นวิถีแห่งใจที่บริสุทธิ์สมบูรณ์

ความคิดเป็นการประมวลผลอย่างหยาบๆจากความรู้ที่เราได้มาจากการมีปฏิสัมพันธ์ของหู ตา จมูก ลิ้นและกาย

หลังจากที่ตกผลึกทางความคิดแล้ว เราละความคิดนั้นเสีย แล้วใช้ใจเพื่อทำความเข้าใจ แล้วเราจะเกิดปัญญา หรือความรู้แจ้งแทงทะลุ

แรงผลักดันของมนุษย์ทั่วไปคือกิเลส หรือความอยาก อยากได้โน่นอยากได้นี่ อยากสวย อยากหล่อ อยากรวย อยากให้มีบ้านหลังโตๆ อยากมีรถหรู อยากเป็นใหญ่เป็นโต อยากจบด๊อกเตอร์ พูดง่ายๆว่ามีความอยากที่ไม่สิ้นสุด แล้วเราก็พยายามดิ้นรนทำทุกอย่างเพื่อเติมความอยากนั้นให้เต็ม

ทุกคนมีความอยากเหมือนกันหมด แต่ปัญหาคือไม่ใช่ทุกคนจะสามารถเติมเต็มความอยากได้เท่ากัน ด้วยเหตุนี้เราถึงมีคนรวย คนมีฐานะปานกลาง คนจน คนแทบจะไม่มีกิน คนพิการด้อยโอกาส

แต่ปัญหายังไม่จบ เพราะว่าไม่มีใครเติมเต็มความอยากได้จริงๆ หลังจากคนรวยเติมเต็มความอยากแล้วยังต้องการรวยมากขึ้นไปอีกจาก10ล้านเป็น20ล้าน เมื่อได้50ล้านยังคิดว่าน้อยไป ต้อง100ล้านถึงจะพอ พอได้100ล้านแล้ว คิดว่า1,000ล้านจะหนีไปไหน ต่อไปต้องเป็นของกู

คนที่มีฐานะปานกลางอยากจะขยับฐานะของตัวเองเป็นคนรวย เพราะเห็นคนรวยไปเที่ยวนอก ขับรถหรูแล้วอิจฉา คนจนขอให้มีเงินจ่ายค่าเทอมให้ลูก พอมีเงินเหลือซื้อกับข้าวกิน จ่ายค่าเช่าที่พักถูกๆก็พอใจแล้ว ส่วนคนด้อยโอกาสก็มีชีวิตกระกระสนไปตามยถากรรม

ปัญหาคือจะบริหารกิเลสของความอยากอย่างไรในสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำ?

คำตอบคือการรู้จักพอนั้นเอง เมื่อพอแล้ว ความสุขก็เกิดขึ้น เพราะว่าเราอยู่นิ่งๆ เรามีความสงบ เราไม่ต้องดิ้นรนเพื่อเติมเต็มความอยากที่ไม่มีวันสิ้นสุดเหมือนเวลาเรากินข้าวอิ่ม เรารู้สึกพอแล้ว กินเข้าไปอีกคำอาจจะอ๊วกออกมา เพราะว่ามันเกินพอ

เมื่อเราพอแล้ว สิ่งที่เรามีเหลือกินเหลือใช้ก็แจกจ่ายคนอื่น เพื่อให้คนที่มีไม่พอมีโอกาสได้อยู่รอด สำหรับคนที่ไม่มีกิน ข้าวเปล่าจานเดียวกับไข่เจียวเปรียบเหมือนสวรรค์บันดาล

เวลาเราให้คนอื่น เราอาจจะรู้สึกเสียดายของ เพราะว่าเราใช้ความคิดเพื่อยึดติดกับสิ่งนั้น ทั้งๆที่สิ่งนั้นจริงๆแล้วไม่ได้มีประโยชน์กับเราอะไร ถ้าเราใช้ใจเพื่อเข้าใจ เราจะเข้าใจว่าสิ่งนั้นไม่ใช่ของเราจริงๆ

วิถีพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูอดุลยเดชคือการให้ หรือการช่วยเหลือผู้ยากไร้ ผู้ที่ด้อยโอกาส ผู้ให้ไม่ใช้ความคิดยึดติดกับสิ่งของหรือทรัพย์สิน แต่ให้ด้วยใจ ให้ด้วยความเมตตา

เวลาเราให้ กิเลสเราจะลดลง ความอยากจะลดลง หลังจากให้ไปแล้ว ทรัพย์สิน หรือสิ่งของของเราอาจจะลดน้อยลง แต่จิตใจเราสูงขึ้น ละเอียดละเมียดละไมขึ้น มีความสุขมากขึ้นจากการทำความดี

ดูพระเวชสันดรก็แล้วกัน ให้ทุกอย่างแม้กระทั่งลูกเมียเพื่อบรรลุถึงทานบารมีอันสูงสุด

ส่วนผู้รับที่มีไม่พอจะมีความสุขจากสิ่งที่ได้รับ ส่วนเกินในสังคม และส่วนขาดในสังคมจะมาพบความสมดุลกันพอดี ทำให้ความเหลื่อมล้ำหรือความขัดแย้งในสังคมลดลง ความคิดที่จะทำลายกันก็จะไม่มี เพราะว่าทุกคนในสังคมพออยู่ร่วมด้วยกันได้

ประเทศที่เกิดการปฏิวัติอย่างรุนแรงมีการฆ่ากันตายเป็นล้านคน ส่วนมากจะมาจากความเหลื่อมล้ำในสังคมที่รุนแรง ความเหลื่อมล้ำเกิดจากคนมีมากเกินพอไม่ให้ และคนมีไม่พออดๆอยากๆจนถึงจุดที่ทนต่อไปไม่ได้

บารมีของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูอดุลยเดชเทียบขั้นพระโพธิสัตว์ เพราะว่าพระองค์ทรงมีความเพียรในการสร้างทานบารมีเหมือนพระเวชสันดร

พระองค์มุ่งช่วยคนยากไร้ตลอดสมัยรัชกาล70ปีเพื่อเป็นโมเดลของการแก้ไขปัญหาของประเทศ

พระองค์ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่ทำเพื่อประชาชน

พระองค์ใช้ใจนำ

ยิ่งพระองค์ทรงงานหนักด้วยการให้ และมีความเมตตาต่อคนจนโดยไม่สนใจว่าใครจะว่าอะไร หรือติฉินนินทาอะไร ทำให้บารมีของพระองค์สูงขึ้นเรื่อยๆ จิตของพระองค์ละเอียดขึ้นเรื่อยๆจนบรรลุถึงจิตที่บริสุทธิ์ที่สมบูรณ์ของพระโพธิสัตว์

ที่นี้คงจะเข้าใจกันแล้วว่าทำไม คนไทยต่อแถวกันวันละหลายหมื่นคนที่ท้องสนามหลวง ต้องรอคอยเป็นเวลาหลายชั่วโมง บางคนต้องคอยถึงครึ่งวัน กว่าจะได้เข้าไปในมหาราชวังเพื่อที่จะกราบไหว้ศพ? เพราะว่าคนไทยมีศรัทธา มีความเข้าใจและซาบซึ้งในความเสียสละของพระองค์ในการทำดีที่ยิ่งใหญ่เหนือมนุษย์

นี้คือวิถีพอเพียง วิถีของใจ วิถีของการเสียสละ วิถีของการไม่ยึดมั่น วิถีของความเมตตา วิถีของการให้ วิถีของการละ วิถีของการบรรลุถึงความเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐ วิถีของจิตที่บริสุทธิ์สมบูรณ์
 thanong
 9/12/2016


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #211 เมื่อ: ธันวาคม 17, 2016, 10:18:10 AM »


มินิซีรี่ส์
 5. วิถีพอเพียง

มีคนเขียนอธิบายหลักวิชาเศรษฐศาสตร์ผ่านวัวสองตัวได้อย่างง่ายๆและตลกดังนี้

1. คอมมิวนิสต์ (Communism)
 คุณมีวัวสองตัว รัฐบาลเอาไปทั้งสองตัว แจกนมให้คุณพอกิน
 2. สังคมนิยม (Socialism).
 คุณมีวัวสองตัว ยกให้เพื่อนบ้านหนึ่งตัว
 3. ฟาสซิสต์ (Fascism)
 คุณมีวัวสองตัว รัฐยึดไปทั้งสองตัว และขายนมวัวให้คุณ
 4. ระบบอำมาตย์ (Bureaucratism)
 คุณมีวัวสองตัว รัฐยึดไปทั้งสองตัว ฆ่าตัวหนึ่งตาย รีดนมจากอีกตัวแล้วเทนมทิ้ง
 5. ทุนนิยมแบบดั้งเดิม (traditional capitalism)
 คุณมีวัวสองตัว ขายตัวหนึ่งออกไปแล้วเอาเงินมาซื้อควาย ฝูงสัตว์เติบโต เศรษฐกิจรุ่งเรือง คุณขายกิจการทิ้ง แล้วปลดเกษียณอย่างสบาย
 6. ทุนนิยมแบบวานิชธนกิจ (Venture Capitalism)
 คุณมีวัวสองตัว คุณขายวัวสามตัวให้บริษัทจดทะเบียนของคุณเอง โดยมีหนังสือค้ำประกันจากแบงค์ที่พี่เขยของคุณช่วยดูแล คุณทำสว๊อปหนี้ต่อทุน (debt to equity swap) โดยมีเงื่อนไขว่าคุณจะได้รับวัว4ตัวคืนมา และจะได้รับการยกเว้นภาษีสำหรับวัว5ตัว สิทธิในนมของวัว6ตัวจะถูกส่งผ่านไปยังบริษัทกระดาษตั้งอยู่ในเกาะเคย์แมน โดยผู้ถือหุ้นลึกลับมีสัญญาจะหายวัวทั้ง7ตัวกลับไปยังบริษัทจดทะเบียนของคุณ ในรายงานประจำปี บริษัทของคุณมีทรัพย์สินวัว8ตัว และมีอ๊อปชั่นที่จะได้วัวอีกหนึ่งตัวเพิ่มเข้ามา
 7. บริษัทอิตาลี (Italian Corporation)
 คุณมีวัวสองตัว คุณไม่รู้ว่าวัวอยู่ไหน คุณตัดสินใจไปกินอาหารเที่ยงแทน
 8. บริษัทฝรั่งเศส (French Corporation)
 คุณมีวัวสองตัว คุณจัดให้มีการประท้วง จุดปะทุความวุ่นวาย ปิดถนน เพราะว่าคุณอยากได้วัว3ตัว
 9. บริษัทอเมริกัน (American Corporation
 คุณมีวัวสองตัว คุณบังคับให้คนทำงานรีดนมเหมือนกับมีวัว4ตัว คุณจ้างที่ปรึกษาเพื่อหาสาเหตุว่าทำไมวัวตาย
 10. บริษัทสวิส (Swiss Corporation)
 คุณมีวัว5,000ตัว คุณไม่ได้เป็นเจ้าของวัวซักตัว คุณชาร์จค่าดูแลวัว
 11. บริษัทไอริช (Irish Corporation)
 คุณมีวัวสองตัว อีกตัวกลายเป็นม้า
 12. บริษัทออสเตรเลี่ยน (Australian Corporation)
 คุณมีวัวสองตัว ธุรกิจดูดี คุณปิดออฟฟิส แล้วไปกินเบียร์เพื่อฉลองความสำเร็จ
 13. บริษัทจีน(Chinese Corporation)
 คุณมีวัวสองตัว คุณให้300คนทำงานรีดนมวัว คุณบอกว่าไม่มีคนตกงาน และเศรษฐกิจมีประสิทธิภาพในการผลิตสูง คุณจับสื่อที่รายงานความจริง
 14. บริษัทอินเดีย (Indian Corporation)
 คุณมีวัวสองตัว คุณบูชาวัว
 15. บริษัทอิรัก (Iraqi Corporation)
 ทุกคนคิดว่าคุณมีวัวจำนวนมาก คุณบอกทุกคนว่าคุณไม่มีวัว แต่ไม่มีใครเชื่อคุณ เขาเลยบอมบ์ประเทศคุณจนพังราบเพื่อหาวัว ท้ายที่สุดคุณไม่มีวัวให้เขาอยู่ดี แต่อย่างน้อยคุณมีประชาธิปไตย
 16. บริษัทอังกฤษ (British Corporation)
 คุณมีวัวสองตัว เป็นวัวบ้าทั้งคู่
 17. บริษัทกรีก (Greek Corporation)
 คุณมีวัวสองตัว กู้ยืมมาจากแบงค์ฝรั่งเศส และแบงค์เยอรมัน คุณกินมันทั้งคู่ แบงค์ทวงนม คุณไม่มีนมให้ คุณเรียกไอเอ็มเอฟมาช่วย ไอเอ็มเอฟให้กู้วัวอีกสองตัว คุณกินหมดทั้งสองตัว แบงค์ฝรั่งเศส&เยอรมันและไอเอ็มเอฟมาทวงวัว คุณขอตัดผม (haircut)
http://atchuup.com/economics-of-different-countries-using-…/

ยังดีที่เขาไม่มีข้อ 18. บริษัทไทย (Thai Corporation) ที่ผมขอเติมเองก็แล้วกัน
 คุณมีวัวสองตัว คุณเอาไปเข้าโครงการรับจำนำวัวเน่าของรัฐบาล อีกตัวหนึ่งคุณล้มเพื่อเอามาต้มกิน เสร็จแล้วคุณแบมือขอวัวจากรัฐบาลอีก4ตัว รัฐบาลแจกวัว4ตัวให้ แต่ลงบัญชี8ตัว และมีข้อแม้ว่าคุณต้องกาคะแนนให้ในการเลือกตั้งครั้งหน้า

นั้นคือวิถีของความโลภและความอ่อนแอในปัจจุบัน

thanong
 9/12/2016


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #212 เมื่อ: ธันวาคม 17, 2016, 10:21:53 AM »

มินิซีรี่ส์
 6. วิถีพอเพียง

เศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูอดุลยเดชอยู่ในรูปแบบที่คล้ายคลึงกับเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์และสังคมนิยม แต่ไม่เหมือนเลยทีเดียว เพราะว่าเป็นแบบอย่างเฉพาะของตัวเอง

พอเพียงเป็นหลักเศรษฐศาสตร์ที่เดินสายกลาง ที่ไม่เน้นความเป็นเจ้าของส่วนบุคคล แต่เน้นความเป็นเจ้าของร่วมของชุมคน ซึ่งจะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าหากไม่มีความสามัคคี หรือความร่วมมือร่วมกันอย่างแท้จริง

ถ้าชุมชนอยู่รอด ครอบครัวหรือบุคคลถึงจะอยู่รอด

เมื่อทุกชุมชนเข้มแข็ง ตำบลก็เข็มแข็ง เมื่อทุกตำบลเข้มแข็ง จังหวัดก็เข้มแข็ง เมื่อทุกจังหวัดเข้มแข็ง ประเทศชาติก็เข้มแข็ง ความมั่นคงของประเทศและความผาสุกของประชาราษฎร์ก็เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย

ในหลักพอเพียง การผลิตเป็นไปเพื่อการยังชีพ ไม่ผลิตน้อยจนเกินไป และไม่ผลิตมากจนเกินไป ผลิตตามหลักวิชาการ ไม่โลภด้วยการเพิ่มผลผลิตด้วยการเอาปุ๋ยยาพิษมาลงดิน การผลิตส่วนเกินเอาขายเพื่อเก็บเป็นเงินออม มีการรักษาและฟื้นฟูธรรมชาติและประหยัดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้มากที่สุด

จะเห็นได้ว่าเมื่อมีความพอเพียงในชุมชนแล้ว อำนาจของตลาดภายนอกจะเข้าไปย่างกรายไม่ได้ เพราะว่าพอใจขายก็ขาย ไม่พอใจขายก็ไม่ขาย พ่อค้าคนกลางที่มีเงินแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะว่าไม่มีของให้ซื้อ

พ่อค้าคนกลางไม่ได้เป็นผู้กำหนดกลไกตลาด ชุมชนต่างหากที่เป็นผู้กำหนด กลไกตลาด ไม่เหมือนอย่างกลไกตลาดในปัจจุบัน หรือในโลกที่เอื้อนายทุนกระเป๋าหนา

เงินไม่ได้เป็นปัจจัยชี้นำ เพราะว่าถ้าพอมีพอกินแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้เงินก็ได้ ถ้าปฏิบัติอย่างนี้ได้ เงินทองจะไหลมาเทมาเอง อาจจะมาช้า แต่เมื่อมาแล้วจะเพิ่มทวีคูณทำให้ทุกคนมั่งมีได้

ถ้าใช้เงินเป็นปัจจัยชี้นำ จะไม่มีวันมีเงินพอ จะโดนตีกิน เอารัดเอาเปรียบไปเรื่อยๆ

เมื่อเงินไม่ได้เป็นปัจจัยชี้นำ ชุมชนอยู่ได้ด้วยวินัยและการช่วยเหลือกัน สามารถจากการตัดขาดจากระบบตลาดที่พ่อค้าคนกลางสร้างขึ้นมาได้ ในที่สุดพ่อค้าคนกลางต้องยอม ยอมจ่ายราคาเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญเพื่อซื้อสินค้าที่ชุมชนผลิตขึ้นมาที่มีปริมาณไม่มาก ไม่ล้นตลาด แต่มีคุณภาพดี เพราะว่าผลิตด้วยใจที่บริสุทธิ์ ทำให้สินค้ามีคุณค่าทางจิตใจไปด้วย

เมื่อทุกชุมชนทำอย่างนี้ คือผลิตอย่างพอเพียง แล้วบาร์เตอร์กัน หรือให้เครดิตกัน เอาของไปก่อน มีเงินค่อยจ่าย หรือจ่ายเป็นสินค้าที่มีราคาเทียบเท่ากันก็ได้ ให้มีการซัพไพลสินค้าระหว่างกันเองโดยตรง โดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง คุณเอาผักมา เอาปลาไป

จากชุมชนที่ค้ากันเอง2-3ชุมชน จะค่อยๆขยายตัวเป็นการค้าขายระหว่างกันเอง20-30ชุมชน จนไปถึงหลายแสนหรือนับล้านชุมชนทั่วประเทศ

สิ่งที่จะตามมาคือจากเศรษฐกิจจุลภาคจะกลายเป็นเศรษฐกิจชุมชนพอเพียงมหภาคที่มาจากรากฐานของชุมชนที่เริ่มจากหน่วยเล็กที่สุดที่พึ่งพาตัวเองได้อย่างแท้จริง และไม่ได้มาจากนายทุนหรือนายธนาคาร

ร้านขายของ หรือห้างสะดวกซื้อเป็นของคนในชุมชนที่ได้สินค้าซับไพลโดยตรงจากการผลิตระบบพอเพียงของชุมชุมจากหลายๆแห่งมารวมกันเป็นเครือข่ายพอเพียงที่มีอุดมการณ์ที่แน่วแน่เหมือนกันว่าจะไม่ยอมก้มหัวให้นายทุน ผลก็คือประชาชนหรือผู้บริโภคทั่วไปจะได้ถูกมีคุณภาพ

ไม่เห็นจำเป็นต้องมีห้างสะดวกซื้อของนายทุนใหญ่ที่ต้องการกินรวบแต่เพียงผู้เดียว

เมื่อได้เงินมา ชาวบ้าน หรือคนในชุมชนยังคงใช้ชีวิตตามวิถีของจารีตประเพณี ใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ มีข้าวของเครื่องใช้ตามความจำเป็น ไม่ต้องหรูมาก แต่ก็มีศาสนาพุทธเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ

การเรียนรู้ของบุตรหลานไม่จำเป็นต้องเรียนแพงๆ หรือจบมหาวิทยาลัยแต่ไม่ได้ประโยชน์อะไร แต่ต้องเรียนรู้วิชาการที่ช่วยพัฒนาชุมชนที่เป็นบ้านเกิดเมืองนอน เรียนรู้การผลิตเครื่องจักรการเกษตร การแพทย์ไทย การทำยาสมุนไพร การสร้างบ้าน การทำการเกษตร การดูแลป่าไม้ลำธาร การเลี้ยงการเพาะพันธุ์ปลา การเลี้ยงสัตว์ การช่างต่างๆ ฯลฯ

ไม่เห็นจำเป็นต้องจบปริญญาตรีที่ไร้สาระ เสียเงินหลายแสน แต่หางานทำไม่ได้ ไม่คุ้มกับพ่อแม่ที่ต้องขายนาขายที่มาส่งเสียเรียน

นอกจากจะขายการผลิตส่วนเกินแล้วยังมีการทำบุญหรือแบ่งปันให้กับคนไม่มี เพราะว่าเศรษฐศาสตร์พอเพียงคือเศรษฐศาสตร์ของการให้

ผู้ที่พอแล้ว แล้วให้เป็นเศรษฐีที่แท้จริง ส่วนผู้ที่มีมากแต่ไม่เคยพอและไม่เคยให้ก็ไม่ได้เป็นคนที่มีคุณค่าอะไร ตายแล้วตายเลย ไม่ได้อยู่ในใจของคนรุ่นหลัง

เศรษฐศาสตร์พอเพียงไม่เหมือนคอมมิวนิสต์ หรือสังคมนิยมที่เน้นความเป็นเจ้าของของรัฐ และประชาชนเปรียบเหมือนหุ่นยนต์ที่มีหน้าที่สนองต่อความต้องการของรัฐ เพราะว่ารัฐเท่านั้นเป็นใหญ่ รัฐอยู่ไม่ได้ประเทศอยู่ไม่ได้

ไม่มีเรื่องของใจ

เศรษฐศาสตร์พอเพียงอยู่คนละขั้วกับเศรษฐศาสตร์ทุนนิยมที่เน้นทุน และการมีอำนาจเหนือตลาดผ่านการผูกขาด โดยกดขี่แรงงานที่เปรียบเหมือนหุ่นยนต์เหมือนกัน

ไม่มีเรื่องของใจเหมือนกัน ไร้น้ำใจด้วยซ้ำ

แต่เศรษฐศาสตร์พอเพียงเป็นเรื่องของใจ ทุกคนเท่าเทียมกัน มีศักดิ์ศรีเหมือนกัน เพราะว่าทุกคนมีหน้าที่ของตัวเองที่จะทำ ไม่มีนายทุน หรือพ่อค้ามาบงการ ไม่มีการกดขี่ข่มเหงกัน

ทุกคนทำงานด้วยใจเพื่อส่วนรวมของชุมชน เพื่อส่วนรวมของตำบล เพื่อส่วนรวมของจังหวัดและเพื่อส่วนร่วมของประเทศชาติ

เมื่อทุกคนทำงานด้วยใจโดยใช้หลักพอเพียงแล้ว ถึงตอนนั้นถึงจะพูดได้อย่างเต็มปากว่า "ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป"
 thanong
 9/12/2016


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #213 เมื่อ: ธันวาคม 17, 2016, 10:23:49 AM »

มินิซีรี่ส์
 7. วิถีพอเพียง

เศรษฐกิจพอเพียงเริ่มต้นจากที่ไหน? เศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้เริ่มต้นจากเงินกองทุนหมู่บ้านที่แจกให้ชาวบ้านหมู่บ้านละ100,000บาท หรือ1ล้านบาทแล้วอ้างบุญคุณที่ไม่มีวันจบสิ้น ทั้งๆที่เป็นเงินมาจากภาษีของประชาชน

เศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้เริ่มต้นจากหน่วยงานคลังสมองของรัฐ หรือนโยบายของรัฐที่เขียนแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติโดยไม่เอาหน่วยที่เล็กที่สุดของชุมชนเป็นที่ตั้ง

เศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้เริ่มต้นจากเอกชนเอาเงินไปลงทุนในชุมชนหรือเอาเมล็ดพันธุ์ไปแจก หรือเอาไก่ไปให้เลี้ยงเพื่อให้ชุมชนติดอยู่ในกับดักของระบบ

เศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้เริ่มต้นจากเอ็นจีโอเอาโครงการสวยหรูมาใช้ชาวบ้านทำเพื่อว่าเขาจะได้ตั้งงบเบิกเงินจากองค์กรที่หน้าฉากเป็นนักบุญแต่หลังฉากอาจจะเป็นซาตานก็ได้

แต่เศรษฐกิจพอเพียงเริ่มต้นจากตัวเรา

เงินร้อยล้านหรือเงินพันล้านเกิดจากการสะสมความมั่งคั้ง แต่ต้องเริ่มต้นที่เงินหนึ่งบาทก่อน

ลำธารที่รวมกันเป็นแม่น้ำสายใหญ่ที่หล่อเลี้ยงชีวิตมนุษย์และสัตว์เกิดจากมวลน้ำมากรวมกัน แต่ต้องเริ่มต้นที่น้ำหยดเดียวก่อน

เส้นที่ลากยาวเกิดจากจุดเล็กๆที่มาเรียงกัน แต่ต้องเริ่มที่จุดแรกก่อน

เมื่อเราเริ่มนับหนึ่ง หรือเมื่อเราเริ่มย่างเท้าก้าวแรกออกไปเพื่อที่จะลงมือปฏิบัติเพื่อบรรลุจุดประสงค์ของการพึ่งพาตัวเองให้ได้ นั้นแหละคือจุดกำเนิดของเศรษฐกิจพอเพียง

เราไม่ต้องรอฤกษ์รอยาม ไม่ต้องรอรัฐบาล ไม่ต้องรอหน่วยงานราชการ ไม่ต้องรอบริษัทเอกชนหรือห้างร้าน ไม่ต้องรอองค์การต่างๆ ไม่ต้องรอเพื่อนฝูง หรือญาติพี่น้อง เพราะว่าทุกคนจะมีข้อแม้หรือข้ออ้างต่างๆนาๆ แถมย้อนคำถามกลับมาว่า "จะดีหรือ" "จะคุ้มหรือ" "จะเอาเงินมาจากไหน" "ไม่มีเงินจะทำอย่างไร" "จะเหนื่อยเปล่าหรือเปล่า" "จะสู้เขาได้หรือ" ฯลฯ

พอตั้งคำถามก็ติดกับดักของความคิด เพราะว่าความคิดก็คือความคิด ต้องลงมือปฏิบัติเลย

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูอดุลยเดชได้ทรงทำเป็นตัวอย่างให้พวกเราเห็นแล้วว่า เศรษฐกิจพอเพียงเริ่มต้นจากตัวเรา ที่ก้าวออกจากความคิดสู่การปฏิบัติ

ในช่วงต้นรัชกาล พระองค์ทรงก้าวพระบาทออกไปอย่างโดดเดี่ยวเพื่อทรงงานพัฒนาเพื่อยกระดับการเป็นอยู่ของชาวบ้าน โดยเน้นให้ชาวบ้านสามารถดูแลช่วยเหลือตัวเอง หรือพึ่งพาตัวเองได้บนผืนแผ่นดิน หรือทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่

ที่ดินทำดินและทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่แล้วอย่างอุดมสมบูรณ์เป็นทุน (capital)ประเดิมอยู่แล้ว เพียงรู้วิธีการต่อยอด จะมีพอกินพอใช้กันทุกคน

เศรษฐกิจพอเพียงคืออัตตา หิ อัตตโน นาโถ หรือตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

คนส่วนมากโดยเฉพาะฝรั่งไม่เข้าใจว่าพระองค์กำลังทำอะไร แต่พระองค์มีพระทัยที่แน่วแน่ที่จะช่วยเหลือชาวบ้านในแนวเศรษฐกิจพอเพียง เพราะว่ามันเป็นหน้าที่ของกษัตริย์ที่จะต้องปัดเป่าทุกข์บำรุงสุขให้ประชาราษฎร์

เมื่อประชาราษฎร์สามารถพึ่งพาตัวเองได้ หรืออยู่เย็นเป็นสุข ประเทศชาติก็มั่นคง

เมื่อประมาณ40ปีมาแล้ว ฝรั่งนักข่าวที่ติดตามเสด็จถามพระองค์ว่าจะมีวิธีการจัดการกับปัญหาภัยคอมมิวนิสต์อย่างไร พระองค์ทรงตอบว่าพระองค์ไม่ได้ต่อสู้กับภัยคอมมิวนิสต์ แต่พระองค์กำลังต่อสู้กับความยากจน เมื่อประชาชนมีการกินดีอยู่ดี จะไม่มีปัญหาคอมมิวนิสต์หรือปัญหาอื่นๆ

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูอุลยเดชเป็นกษัตริย์ที่ทรงพระปรีชาสามารถ แต่พระปรีชาสามารถไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ แต่เกิดจากการที่พระองค์ทรงลงมือปฏิบัติเรียนรู้งานด้วยพระองค์เอง

พระองค์อยากจะเรียนรู้การเกษตร หรือฟาร์มสัตว์ฟาร์มนม พระองค์ก็ทรงให้มีไร่เกษตรทดลอง หรือฟาร์มสัตว์ฟาร์มทดลองในสวนจิตรลดา เสร็จแล้วก็เอาความรู้ที่ได้จากการทดลองนี้ไปบอกต่อให้ชาวบ้านทำ หรือให้หน่วยงานราชการ รวมทั้งองค์กรเอกชนเอาความรู้ไปสอนชาวบ้านอีกทอดหนึ่ง

ชาวบ้านขาดน้ำ พระองค์ทรงลงมือศึกษาเรื่องการทำฝาย ทำเขื่อน ทำฝนหลวง ทำให้เกิดโครงการน้ำนับพันๆแห่งทั่วประเทศ

ชาวบ้านต้องการอาชีพเสริม พระองค์แนะนำให้เลี้ยงปลา เพาะพันธุ์ปลา ปลูกพืชเศรษฐกิจ นอกจากจะกินเองได้ ยังเอาปลามาขายเป็นรายได้เพิ่ม

หลักเศรษฐกิจพอเพียงของพระองค์คือ คนเราไม่ได้เก่งทุกอย่าง แต่คนเราสามารถเรียนรู้ทุกอย่างได้ ถ้าสนใจจริงๆ

แต่การเรียนรู้ที่แท้จริงมาจากการลงมือปฏิบัติ ไม่ได้มาจากการศึกษาหรือท่องจำตำราแต่เพียงอย่างเดียว

เมื่อลงมือปฏิบัติ เราถึงจะเข้าใจในสิ่งที่ทำ

เมื่อเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว เราถึงจะเข้าถึงในความรู้นั้นจริงๆ

เมื่อเราเข้าใจ และเข้าถึงแล้ว เราถึงจะสามารถเอาความรู้นั้นไปพัฒนาตัวเอง หรือผู้อื่นได้

ด้วยเหตุนี้ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูอุลยเดชจึงทรงพระปรีชาสามารถรอบรู้เกือบจะเรื่อง เพราะว่าทรงลงมือปฏิบัติเอง เรียนรู้ด้วยพระองค์เองจากความผิดพลาด แล้วแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ

พระองค์ไม่ได้รออ่านรายงานที่คนอื่นทำมาเสนออีกที

เศรษฐกิจพอเพียงของพระองค์เกิดจากการที่พระองค์ทรงปฏิบัติ หรือทรงงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยด้วยจิตที่บริสุทธิ์สมบูรณ์ เพราะว่าได้ทรงตั้งปณิธานแล้วว่า เราจะปกครองแผ่นดินด้วยธรรม เพื่อประโยชน์แห่งมหาชนชาวสยาม

คำถามถือ พวกเรามีใครเริ่มต้นนับหนึ่งหรือยัง
 thanong
 11/12/2016



บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #214 เมื่อ: ธันวาคม 17, 2016, 10:25:49 AM »

มินิซีรี่ส์
 8. วิถีพอเพียง

วิถีของโลกในเวลานี้คือวิถีของทุนนิยม ทั้งทุนนิยมการผลิตและทุนนิยมการเงิน วิถีของทุนนิยมแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากวิถีพอเพียง

หลังช่วงกึ่งพุทธกาลเป็นต้นมา เมืองไทยรับเอาวิถีทุนนิยมเข้ามา จนอาจกล่าวได้ว่าวิถีทุนนิยมได้กลายเป็นวิถีไทยไปแล้ว

แม้ว่าพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูอดุลยเดชจะทรงพยายามปกป้องชุมชน หรือผู้ด้อยโอกาสด้วยการสอนให้พวกเขาสามารถพึ่งพาตัวเองได้ผ่านหลักเศรษฐกิจพอเพียง แต่ในทางปฏิบัติ พระองค์สามารถทำได้เพียงระดับหนึ่งเท่านั้น เพราะว่าทุนนิยมเหมือนพายุร้ายที่มาแรง ไม่มีใครต้านได้ต้องปล่อยให้มันหมดแรงไปก่อน

แต่ในทางทฤษฎี พระองค์ได้พัฒนาแนวเศรษฐกิจพอเพียงได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุด

วิถีทุนนิยมจะเน้นความเป็นเจ้าของของบุคคลหรือเอกชน คำว่าทุนนิยมชื่อก็บ่งบอกแล้วว่าเป็นระบบที่นิยมเงิน หรือระบบที่เอาเงินเป็นตัวตั้ง

ความจริงแล้วในแง่เศรษฐศาสตร์แบบคลาสสิค เงินเป็นเพียงหนึ่งในสามปัจจัยการผลิต ที่เหลือคือที่ดิน และแรงงาน

วิถีทุนนิยมดำเนินไปบนหลักการของความเป็นเจ้าของของเอกชนที่ลงทุนในกิจการ โดยมีการจ้างแรงงานเพื่อผลกำไรสูงสุด สินค้าหรือบริการที่ผลิตออกมามีการแลกเปลี่ยนมือกันอย่างเสรี มีระบบการตั้งราคาตามกลไกตลาด และตลาดมีการแข่งขันกันอย่างเสรี

ในวิถีทุนนิยม รัฐจะมีหรือควรที่จะมีบทบาทน้อยที่สุดในการแทรกแซงกลไกทางเศรษฐกิจ

วิถีทุนนิยมของกลุ่มแองโกลอเมริกันกลายเป็นโมเดลของระบบเศรษฐกิจโลก แม้ว่ามันจะพิสูจน์ให้เราเห็นแล้วว่า มีเพียงนายทุนเท่านั้นที่ได้ประโยชน์จากระบบนี้ ส่วนชนชั้นผู้ใช้แรงงาน หรือแม้กระทั่งชนชั้นกลางไม่ได้ประโยชน์ตามสัดส่วนที่ควรจะเป็น

นายทุนแสวงหาผลกำไรสูงสุดในการลงทุน โดยอาจจะแบ่งผลกำไรให้ผู้บริหารบ้าง แต่พนักงานบริษัท หรือผู้ใช้แรงงานได้ผลตอบแทนน้อยมากเมื่อเทียบกับสิ่งที่นายทุนได้

แม้ว่าวิถีของทุนนิยมต้องการให้รัฐเข้ามาเกี่ยวข้องกับกลไกทางเศรษฐกิจน้อยที่สุด และจะไปไกลถึงขนาดมองว่ารัฐเป็นปรปักษ์ด้วยซ้ำ เพราะว่ารัฐคอยเก็บภาษีจากผลกำไรทางธุรกิจของนายทุน แต่ในความเป็นนายทุนกับนักการเมืองหรือรัฐ ไม่ต้องพูดถึงข้าราชการ หรือพนักงานของรัฐมีเอี่ยวกันในทางลับและในทางที่เปิดเผย ทำให้นายทุนได้ประโยชน์จากนโยบายรัฐที่เอื้อนายทุนมาตลอด

วิถีทุนนิยมจึงเป็นวิถีของนายทุนใช้ประโยชน์จากกลไกรัฐเพื่อสร้างอำนาจการผูกขาด หรือการมีอำนาจเหนือตลาด และแสวงหาความร่ำรวยให้ตัวเอง โดยแบ่งปันผลประโยชน์ให้รัฐในรูปภาษี หรือให้แรงงานในสัดส่วนที่ไม่สมน้ำสมเนื้อ

ที่สำคัญ วิถีทุนนิยมเป็นวิถีที่เอาเงิน เอาตัวเลขเป็นตัวตั้ง ไร้ซึ่งน้ำใจต่อเพื่อนมนุษย์และสังคม

นายทุนสะสมความร่ำรวยโดยไม่รู้จักพอ

ยิ่งรวยมาก ยิ่งต้องการรวยเพิ่มมากขึ้น ยิ่งรวยเพิ่มมากขึ้น ยิ่งมีความเห็นแก่ตัว

นายทุนในวิถีทุนนิยมไม่มีใครเลยที่รู้จักคำว่าพอ ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในสังคมจนมิอาจที่จะประมาณได้

การสะสมความร่ำรวยของนายทุนในวิถีทุนนิมที่ไม่รู้จักพอ ที่ไม่รู้จักแบ่งปันที่ไม่คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของประเทศ

ในขบวนการผลิตของทุนนิมจะเน้นการทำลายมากกว่าการปกป้องรักษา จะมีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างฟุ่มเฟือย และทำลายสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆกัน ทำให้ป่าไม้ แม่น้ำลำธาร คุณภาพของดิน อากาศถูกทำลาย

เมื่อธรรมชาติถูกทำลาย คนทุกคนก็อยู่ไม่ได้

วิถีทุนนิยมเอาเงินเป็นตัวล่อ เมื่อทุกคนแข่งกันไขว่คว้าหาเงิน โดยมีความหวังว่าจะมีชีวิตที่ดีขึ้น จะมีเงินซื้อสิ่งของอำนวยความสะดวกที่ล่อใจมากมาย แต่ท้ายที่สุดมีเพียงนายทุนเท่านั้นที่จะชนะ

ชนชั้นกลาง หรือชนชั้นใช้แรงงานจะถูกทอดทิ้งในวิถีทุนนิยม เพราะว่าไม่ว่าจะหาเงินได้เท่าไหร่ จะไม่มีวันพอกับการใช้จ่าย โดนเงินเฟ้อกินหมด เมื่อไม่พอใช้ต้องสร้างหนี้สิน ท้ายที่สุดทุกคนเป็นทาสหนี้กันหมด

เนื่องจากวิถีทุนนิยม มาพร้อมกับวิถีทุนนิยมการเงินที่มีเครดิต และการสร้างเงินเป็นตัวนำ การเพิ่มเครดิต และการเพิ่มปริมาณเงินของธนาคารกลางทำให้เกิดเงินเฟ้อ ที่กัดกร่อนความร่ำรวยของทุกคน

รายได้ของชนชั้นกลาง หรือชนชั้นแรงงานจะไม่มีวันตามทันเงินเฟ้อ และรับมือกับวงจรขาลงของภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำ

ให้ดูชนชั้นกลางของสหรัฐและยุโรปในเวลานี้เป็นตัวอย่าง ความอิ่มตัวของระบบทุนนิยมที่สร้างหนี้สินจนล้นพ้นทำให้อัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไปต่อไม่ได้ เกิดภาวะการตกงานไปทั่ว รายได้ของคนชั้นล่างและชนชั้นแรงงานไม่พอจ่ายหนี้ บวกกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นเรื่อยๆ

ทำให้เกิดวิกฤติทางการเมือง ลัทธิชาตินิยมสุดโต่ง ลัทธิกีดกันการค้า และการหาแพะเพื่อเบี่ยงประเด็นของการล้มเหลวของระบบ

วิถีทุนนิยมที่เป็นโมเดลของเศรษฐกิจโลกกำลังเจอวิกฤติที่ดูแล้วหาทางออกไม่ได้
 thanong
 11/12/2016


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #215 เมื่อ: ธันวาคม 17, 2016, 10:27:27 AM »


มินิซีรี่ส์
 9. วิถีพอเพียง

ความไม่รู้จักพอของนายทุน หรือผู้คนในยุคปัจจุบันเปรียบเหมือนกับองคุลิมาลที่ฆ่าคนตาย หรือทำบาปโดยไม่รู้จักพอ

ในสมัยพุทธกาล องคุลิมาลฆ่าคนแล้วติดเอานิ้วมาร้่อยเป็นพวง เหมือนกับพวงมายา นับได้แล้ว999นิ้ิว ขาดอีกเพียง1นิ้วจะครบ1,000พอดี จะได้เอาไปให้อาจารย์ของตัวเองตามเงื่อนไข หรือการยุยงให้ทำชั่วเพื่อแลกกับความรู้ศิลปศาสตร์ อันชื่อว่าวิษณุมนต์

กิติศัพท์ความโหดร้ายขององคุลิมาลดังกระฉ่อนไปทั่ว ถ้าหาคนฆ่าไม่ได้ องคุลิมาลอาจจะกระทำมาตุฆาต หรือฆ่ามารดาของตัวเองเพื่อตัดนิ้วให้ได้ครบ1,000 เพราะว่าต้องการได้วิชาวิษณุมนต์ที่แก่กล้ามีอิทธิฤทธิ์ในการทำลาย

อยู่มาวันหนึ่ง สมเด็จศาสดาทรงเสด็จผ่านเส้นทางขององคุลิมาล พระองค์ท่านทรงตั้งพระทัยเสด็จมาโปรดท่านองคุลิมาลโดยเฉพาะ เพราะพระองค์ทรงแผ่ข่ายพระญาณในตอนเช้ามืดของทุกวัน ซึ่งเป็นหนึ่งในพุทธกิจ ๕ ตรวจดูสัตว์โลกที่อยู่ในวิสัยที่จะทรงโปรด

และองคุลิมาลปรากฏขึ้นในข่ายพระญาณ และทรงทราบว่า ถ้าไม่ทรงโปรดในวันนี้ ท่านองคุลิมาลจะทำอนันตริยกรรม ฆ่ามารดาของท่านเอง เป็นการปิดกั้นมรรค ผล นิพพานทันที

องคุลิมาลโจรพอเห็นพระพุทธเจ้าก็ตรงเข้าไล่ทันที หมายจะพิฆาตฆ่าเพื่อเอานิ้วพระหัตถ์

แม้องคุลิมาลจะไล่เท่าไรก็ไม่ทันพระพุทธเจ้าที่สามารถย่อส่วนของกาละและเทศะได้ พระองค์ก้าวเท้าเดียว เท่ากับองคุลิมาลวิ่ง10-20ก้าว

เมื่อตามไม่ทัน องคุลิมาลจึงตระโกนถามพระพุทธเจ้่าว่าหยุดก่อน พระพุทธเจ้าตรัสตอบไปว่า เราหยุดแล้ว ส่วนท่านยังไม่หยุด

องคุลิมาลถึงกับชงักได้คิดถึงอกุศลกรรมที่ตัวเองได้ก่อกรรมทำเข็ญเอาไว้

เสร็จแล้วพระพทุธเจ้าแสดงธรรมสั่งสอนองคุลิมาล ทำให้เกิดองคุลิมาลเกิดความเลื่อมใส ยอมเปลื้องเครื่องศัสตราวุธ และมาลัยนิ้วออก เสร็จแล้วทูลขอบรรพชาอุปสมบท

พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้อุปสมบท ด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา แล้วทรงนำเข้าไปในพระเชตวันมหาวิหาร องคุลิมาลสามารถสำเร็จมรรคผลได้ในที่สุด
http://www.dhammathai.org/monk/monk54.php

คนเราที่ไม่รู้จักพอก็ไม่ต่างจากองคุลิมาลที่ไม่รู้จักหยุดการฆ่าคนทำบาป โดยหวังว่าเมื่อได้เวทย์มนต์มาแล้ว จะมีอิทธิฤทธิ์ยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีก

การไม่รู้จักพอจะนำไปสู่การสร้างกิเลสทับถมหนาขึ้นไปเรื่อยๆ หวังรวยขึ้นไปเรื่อยๆกิเลสที่หนาขึ้นจะทำให้ดวงตาไม่เห็นธรรม หรือไม่พบกับความสุขที่แท้จริง

เมื่อถึงจุดหนึ่ง เราต้องรู้จักพอ การพอคือการละ เมื่อละได้แล้ว ความสุขหรือความสงบจะตามมา

แต่ถ้าไม่พอ ไม่ละจะสร้างปัญหาเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จนควบคุมไม่อยู่ ไม่มีความสุข ไม่ดีกับตัวเองและผู้อื่น

วิถีพอเพียงคือ วิถีของการละ โดยใช้ใจที่เข้าใจ อันจะนำไปสู่ใจที่บริสุทธิ์สมบูรณ์

แม้แต่องคุลิมาลยังสามารถบรรลุธรรมขั้นสูงได้ ดังเราทุกคนก็สามารถมีดวงตาที่แลเห็นธรรมได้

thanong
 11/12/2016


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #216 เมื่อ: ธันวาคม 17, 2016, 10:50:56 AM »

มินิซีรี่ส์
 10. วิถีพอเพียง

ธนาคารต้นไม้สตึก ธนาคารเพื่อชีวิต ธนาคารเพื่อความพอเพียง

วันนี้เรามาทำความรู้จักกับธนาคารต้นไม้สตึก (Satuk Forest Bank)กันดีกว่า ครูบาสุทธินันท์ ปรัชญพฤทธิ์ เจ้าของและผู้บุกเบิกสวนป่าที่บ้านปากช่อง ตำบลสนามชัย อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์เป็นประธาน (chairman) ของธนาคารต้นไม้สตึก มีพนักงานนกยูง พนักงานนกฮูก พนักงานหมาลาย พนักงานแมว พนักงานวัว พนักงานจิ้งหรีดเรไร และมีคุณตฤนเป็นกรรมการผู้จัดการที่เก่งเรื่องไอที คอยเป็นคอนดั๊กเตอร์ให้ธนาคารต้นไม้ดำเนินไปได้ตามจังหวะลีลาของป่า

แหม! น่ารักทุกชีวิตที่ธนาคารต้นไม้สตึก เพราะว่าบริการทุกระดับประทับใจและยิ้มแย้มเฮฮาตลอดเวลา ไม่รู้จักว่าความเครียดคืออะไร

ทุกชีวิตที่ร่วมกันทำงานกับธนาคารต้นไม้ไม่เคยเรียกร้องแรงงานขั้นต่ำ300บาทต่อวัน หรือขอโบนัสประจำปี เพราะว่าอยู่กันตามธรรมชาติที่สบายดีอยู่แล้ว และทำงานให้ธนาคารต้นไม้สตึกด้วยใจ

ท่านประธานไม่เคยเอาระบบเคพีไอไปวัดว่าทำงานคุ้มกับข้าวสุกหรือไม่ ใครมีแรงมากในการปลูกต้นไม้ ดูแลต้นไม้ก็ทำมาก ใครมีแรงน้อยก็ทำน้อยหน่อย

ผิดกับพนักงานงานของธนาคารพานิชย์ที่รับเงินฝากหรือปล่อยกู้ทั่วๆไปที่เจ้านายจ้องอยู่ตลอดเวลาว่า ทำงานคุ้มกับเงินเดือนหรือไม่ อยู่ไปเหมือนเป็นหุ่นยนต์ขึ้นทุกวัน เห็นงานเป็นจ๊อบ (job) หรือเป็นภาระเหมือนกับคนเมืองทั่วๆไป ที่เป็นทาสของนาฬิกาตั้งแต่8 โมงเช้าถึง5โมงเย็น

แต่พนักงานธนาคารต้นไม้สตึกถือว่าการทำงานเป็นหน้าที่ เป็นส่วนหนึ่งของลีลาของชีวิต ไม่รีบร้อน แต่ก็ไม่เฉื่อยแฉะ เพราะมีเป้าหมายใหญ่ที่จะจรรโลงโลก คือคืนธรรมชาติและชีวิตให้กับโลกโดยไม่ได้มีเรื่องของกำไร/ขาดทุนเข้ามาเกี่ยวข้อง ต่างจากกิจการทุกอย่างในระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ที่สร้างเทคโนโลยี่และวิถีสมัยใหม่พร้อมกับทำลายโลกไปพร้อมๆกัน

และที่สำคัญที่สุดพนักงานธนาคารต้นไม้สตึกเรียนรู้ที่จะมีชีวิตอยู่กับธรรมชาติ ไม่ฝืนธรรมชาติ และไม่บังอาจท้าทายหรือหักกฎธรรมชาติ

ท่านประธานสุทธินันท์จัดว่าเป็นนายแบงค์ที่เป็นผู้ใหญ่ใจดี เพราะว่าไม่เคยคิดคำว่ากำไรหรือขาดทุน รายได้มีเข้ามาก็ใช้ ไม่มีก็ไม่ใช้ อีกประการหนึ่ง ไม่รู้จะเอาเงินไปซื้ออะไร ไม่ได้เดินตามแผนธุรกิจ (business plan) ไม่เคยดุด่าพนักงานเหมือนธนาคารอื่นๆที่เวลากำไรหรือการขยายธุรกิจผิดไปจากเป้า

ธนาคารต้นไม้สตึกนี้ดำเนินการมาเกือบกึ่งศตวรรษแล้วโดยไม่ได้ขออนุญาตตั้งกิจการจากกระทรวงพานิชย์ให้วุ่นวาย หรือว่ามีใบไลเซ่นซ์จากธนาคารแห่งประเทศไทย แต่กิจการมั่นคงกว่าธนาคารของรัฐและของเอกชนอย่างเทียบกันไม่ได้

ธนาคารต้นไม้สตึกมีทรัพย์สิน (assets)เป็นต้นไม้ ไม่ว่าจะเป็นไม้พยูน ไม้มะค่า ไม้ยูคาลิปตัส ไม้ยางนา ฯลฯ รวมทั้งพืชผักผลไม้ต่างๆที่กินได้ ไม่ว่าจะเป็นมะละกอ มะกอก มะเขือ มะเดื่อ สุดที่จะบรรยาย

ที่สำคัญที่สุดธนาคารต้นไม้สตึกมีแต่ทรัย์สิน (assets) แต่ไม่มีหนี้สิน (liabilities) ผิดกับธนาคารทั่วไปที่มีทั้งทรัพย์สินและหนี้สิน ความจริงทรัพย์สินของธนาคารแท้ที่จริงแล้วคือหนี้ของคนอื่นนั้นเอง มันเลยโยงใยกันไปมาจนมั่วไปหมด ถ้าลูกหนี้เบี้ยวก็เจ้ง หรือถ้าเกิดวิกฤติการเงินขึ้นมา มีการแห่ถอนเงิน แบงค์จะล้มเหมือนโดมิโน ทุนประเดิม(capital)โดนกินหมด เหมือนตอนต้มยำกุ้งปี2540ที่ประเทศไทยล้มละลายล่มจมกันถ้วนหน้า

จะหาธนาคารอะไรในโลกนี้มั่นคงเท่าธนาคารต้นไม้สตึกไม่มีแล้ว เพราะว่ามีแต่ทรัพย์สิน ไม่มีหนี้เลยแม้แต่บาทเดียว

ทรัพย์สินของธนาคารต้นไม้สตึกมีแต่จะงอกเงยโดยที่ครูบาสุทธินันท์ ภรรยาและแม่บ้านช่วยกันฝากต้นไม้ในธนาคารต้นไม้สตึกที่มีพื้นที่กว่า500ไร่อย่างต่อเนื่อง เวลาต้นไม้โตขึ้น ราคาจะสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว

ในขณะที่ธนาคารพานิชย์อื่นๆ คนเอาเงินไปฝากได้ดอกเบี้ยจากธนาคาร แล้วธนาคารก็เอาเงินที่ประชาชนฝากไปปล่อยกู้ต่อกินส่วนต่างดอกเบี้ย ขูดรีดกันไปตามระบบทุนนิยมการเงิน

แต่ที่ธนาคารต้นไม้สตึกการปลูกต้นไม้คือการฝากเงินรูปแบบหนึ่ง แต่เป็นทรัพย์สินจับต้องได้ เงินโดยทั่วไปคือกระดาษเปล่าๆที่เราให้ค่ามันเอง ทั้งๆที่มันไม่ได้มีค่าอะไรในตัว

เวลาแบงค์เอาเงินฝากเราไปเก็บก็เก็บอยู่ในรูปดิจิตัล ยิ่งจะไม่มีตัวตนใหญ่ เป็นเงินไซเบอร์ คอมพิวเตอร์ไวรัสลงมาทีหนึ่ง ไม่รู้ว่าเงินเราจะหายไปหมดหรือเปล่า? คิดแล้วเสียวไส้นอนไม่หลับ

แต่เงินฝากในธนาคารต้นไม้สตึกเป็นต้นไม้ที่จับต้องได้ ให้ความร่มเย็น ให้อ๊อกซิเจน ให้ประโยชน์ใช้สอยคุณค่าอนันต์ เพราะว่าป่าไม้คือชีวิต ถ้าไม่มีป่าก็ไม่มีสิ่งมีชีวิต และต้นไม้สามารถแปลงเป็นเงินกระดาษหรือทรัพย์สินอย่างอื่นเช่นรถยนต์กระบะ อีแป๊ด หรือไอโฟนได้ตลอดเวลา ด้วยการตัดต้นไม้ไปขายเวลามันโตได้ที่

ต้นไม้ที่เป็นเงินฝาก หรือทรัพย์สินของธนาคารต้นไม้โตขึ้นทุกวันเหมือนกับคนที่มีรายได้เพิ่มจากดอกเบี้ยเงินฝาก ปกติดอกเบี้ยของเงินฝากธนาคารที่ระดับ7%จะทบต้นทุก10ปี แต่ทุกวันนี้ดอกเบี้ยเงินฝากเกือบจะเป็น0% เจอเงินเฟ้อ8-9%ทุกปีๆ (ไม่ใช่เงินเฟ้อ2-3%เหมือนอย่างที่ทางการโฆษณาชวนเชื่อ) ท้ายที่สุดแล้วเก็บเงินฝากธนาคารมีแต่จะจนลง

ค่าของเงินเสื่อมลงไปเรื่อยๆจากเงินเฟ้อที่มองไม่เห็น เพราะว่าธนาคารแห่งประเทศไทยมีการเพิ่มปริมาณเงินเข้าระบบทุกปี และแบงค์มีการสร้างเงินเพิ่มผ่านกลไกแบงค์กิ้งสมัยใหม่ที่ให้อำนาจแบงคฺ์ปล่อยกู้มากกว่าฐานเงินฝากที่ตัวเองมีอยู่ (fractional reserve system)

ความร่ำรวยจึงตกอยู่ในมือผู้ถือหุ้นธนาคาร แต่ประชาชนโดยทั่วไปมีแต่จะจนลง ทำงานใช้หนี้ดอกเบี้ยยิ่งกว่าทาส ยิ่งทางรัฐบาลไทยยกธนาคารให้ต่างชาติ เพราะเห็นว่าเขาเก่ง เขาแน่ ยิ่งเป็นการให้ต่างชาติมาทำนาบนหลังคนไทย

พูดไปแล้วก็ห่อเหี่ยวใจเปล่าๆ

ธนาคารต้นไม้สตึกของครูบาสุทธินันท์ให้ดอกเบี้ยทบต้นทุกๆ3ปี หรือ5ปีตามอัตราการเจริญเติบโตของต้นไม้ ดูๆแล้วให้ผลตอบแทนดีกว่าเล่นหุ้น หรือฝากธนาคารโดยทั่วไปแม้ในยุคสมัยราชาเงินทุนที่ให้ดอกเบี้ยให้กันสูงๆ และไม่ต้องกลัวคนอื่นโกง ยิ่งฝากต้นไม้นานในธนาคารต้นไม้ยิ่งจะรวยมากขึ้นเท่านั้น

ปริมาณต้นไม้ยิ่งมีมากยิ่งมีทรัพย์สินมาก และยิ่งจะมั่นคง ในพื้นที่500กว่าไร่ของธนาคารต้นไม้สตึกน่าจะมีต้นไม้หลายแสนต้น หรืออาจจะเป็นล้านต้นไปแล้ว ไม่แน่ใจเพราะว่าท่านประธานครูบาสุทธินันท์ไม่เคยทำโอดิท (audit)

สงสัยท่านกรรมการผู้จัดการตฤนอาจจะต้องเอาอีแป๊ดไปถ่ายรูปเพื่อช่วยในการนับคำนวนจำนวนต้นไม้ หรืออาจจะดูจากกูเกิ้ลเอิร์ทก็ได้ เพื่อช่วยการบริหารธนาคารต้นไม้สตึกให้ทันสมัยกับเขาบ้าง

คิดเอาง่ายๆ ต้นไม้หนึ่งต้นขายได้30,000บาท ถ้าหาก1ล้านต้นจะมีมูลค่าเท่าใด ลองคิดดูพ่อแม่พี่น้อง ธนาคารต้นไม้สตึกมีทรัพย์สินเหยียบ30,000ล้านบาทไปแล้วไม่ใช่หรือ?

แต่กว่าจะได้1ล้านต้น หรือมาถึงวันนี้ ต้องใช้เวลา ต้องลำบาก ต้องต่อสู้และมีความอดทน หรือความเพียรสูง ปลูกต้นไม้แบบลองผิดลองถูกบนพื้นที่ๆแห้งแล้ง พื้นดินรองรับน้ำผนไม่ได้ เวลาฝนตกที น้ำไหลหายไปหมด ต้องขุดบาดาลใช้ แต่ทำงานปลูกป่าไปทุกวันด้วยความมุ่งมั่น ไม่ช้าไม่นานก็อยู่ตัว พอมีพอกิน

สมกับคำพูดที่ว่าแม้แต่เทวดาไม่สามารถยุดยั้งความสำเร็จของผู้ที่มีความเพียรได้

นอกจากจะไม่มีหนี้แล้ว ธนาคารต้นไม้สตึกยังไม่มีค่าใช้จ่าย (operating cost)อีก ธนาคารอื่นๆต้องมีค่าใช้จ่ายมหาศาลในแต่ละเดือน ใหนจะค่าตึก ค่าเช่าออฟฟิซ ค่าเงินเดือนพนักงาน ค่าแอร์ ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำ ค่าจ้างยามมาป้องกันโจรปล้น ค่าดูแลรักษาระบบคอมพิวเตอร์ ค่าน้ำชา ค่านักตรวจสอบบัญชี ต้องมีตู้นิรภัยเก็บเงิน ต้องมีระบบบัญชี คอมพิวเตอร์ เทลเลอร์ ถ้ารายได้ธนาคารไม่เข้าเป้า ก็โล๊ะพนักงานออกหรือlay-off

แต่ธนาคารต้นไม้สตึกไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรเลย เพราะมีแต่สวนต้นไม้ กับผักและผลไม้ ไม่มียาม ไม่มีรั้วกั้น ถนนทางเดินเป็นดินแดงธรรมชาติ

ไฟฟ้าของธนาคารต้นไม้สตึกก็ติดตั้งโซล่าร์เซลโดยลงทุนแค่200,000บาท น้ำดูดเอามาใช้จากใต้ดิน มีการติดตั้งเสาอากาศไว-ไฟลงทุนแค่40,000บาท เล่นเน็ทได้เร็วไม่แพ้บริการของทรู

น้องๆนักศึกษาปริญญาเอกจากมอราชภัฏอุบล นำทีมโดยอาจารย์ชมพูนุชได้มาเยี่ยมชมกิจการธนาคารต้นไม้สตึก คำถามแรกที่นักศึกษาถามท่านประธานครูบาว่ามีรายได้เท่าไหร่ ท่านประธานบอกว่าไม่มีรายได้ เพราะว่าไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไร ของใช้สอยในบ้านก็มีทุกอย่างแล้ว แต่ไม่ต้องห่วงเรื่องเงิน ต้องการใช้เงินก็ตัดไม้ขาย มีคนมารับซื้อถึงที่

การตัดไม้คือการทำลาย แต่ถ้าตัดต้นไม้หรือทำลาย ต้องทำอย่างถูกต้อง เพราะบางทีต้องตัดต้นไม้เพื่อหลีกทางให้ต้นไม้อื่นมีพื้นที่และมีโอกาสเจริญเติบโต

ถ้าไม่โลภตัดต้นไม้จนหมดภูเขาเหมือนที่พวกนายทุนหน้าเลือดกำลังทำอยู่ในทั่วภูมิภาคของประเทศไทยเพื่อปลูกข้าวโพดทำให้เกิดภัยแห้งแล้ง และน้ำท่วม ต้นไม้จะมีโอกาสเติบโตและมีการหมุนเวียนไม่มีที่สิ้นสุด และให้ทรัพย์และความมั่นคงกับเราอย่างที่ไม่มีอะไรมาเทียบได้

เหมือนกับที่บรรพบุรุษของไทยเคยอยู่สบายมาก่อน เพราะว่าอยู่กับธรรมชาติ ไม่ได้ทำลายธรรมชาติ

การผลิตก็คือการทำลาย การผลิตที่ดีที่สุด คือการทำลายที่น้อยที่สุด แต่แต่การผลิตสมัยใหม่จะทำลายมากกว่าสิ่งที่ได้มา และไม่มีการหมุนเวียน โลกถึงกำลังก้าวเข้าสูภาวะวิกฤติของการเสียสมดุลของธรรมชาติ

ธนาคารต้นไม้สตึกไม่ใช้เงินเป็นตัวตั้ง เมื่อเงินไม่ใช่เป็นตัวตั้ง ทำอะไรก็สำเร็จเพราะว่าต้นไม้คือทรัพย์สินที่ให้ความมั่นคงกับชีวิตมากกว่าเงินด้วยซ้ำ แตกต่างจากเศรษฐีหลายคนที่ลงทุนซื้อที่400-500ไร่ เพื่อปลูกยางอย่างเดียว ต้องดูแล ต้องจ้างพนักงาน ต้องกรีดยาง ค่าใช้จ่ายเยอะแยะไปหมด ราคายางเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ท้ายที่สุดไม่รู้ว่าจะได้กำไรหรือไม่

นานมาแล้วภรรยาท่านประธานบอกว่าอยากได้แหวนเพชรสองกะรัต ท่านประธานบอกว่าในฐานะที่เป็นถึงประธานธนาคาร10กะรัตก็ซื้อให้ภรรยาได้ เลยพากันไปดูแหวนเพชรที่ร้าน ดูเสร็จกลับมาบ้านท่านประธานบอกภรรยาว่าถ้าจะซื้อแหวนเพชรต้องรอให้ต้นไม้ต้นนี้ พร้อมกับชี้นิ้วไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง ให้โตก่อนถึงจะตัดไปขาย

ต่อมาพอต้นไม้โตได้ที่พร้อมตัดเพื่อเอาเงินไปซื้อแหวนเพชร ภรรยาเกิดเปลี่ยนใจ เพราะรู้สึกเสียดาย หรือสงสารต้นไม้ที่เคยอยู่ด้วยกันมานาน ให้อ๊อกซิเจนให้ได้หายใจทุกวัน

วันดีคืนดีจะตัดต้นไม้แล้วแปลงเป็นเงินกระดาษแล้วแปลงต่ออีกทีเป็นแหวนเพชรเพื่อมาใส่ในนิ้วมือ คิดๆไปแล้วไม่มีประโยชน์อะไร จึงเปลี่ยนใจไม่ตัดต้นไม้เพราะว่าไม่อยากได้แหวนเพชรอีกแล้ว

จะว่าธนาคารต้นไม้สตึกไม่มียามก็ไม่ถูกเสียทีเดียว ท่านประธานครูบาสุทธินันท์มีนกฮูกที่มาเฝ้าทุกคืน เวลามีใคร หรือสัตว์เดินมา นกฮูกจะส่งเสียงร้องเหมือนจะคอยเตือนภัย นอกจากนี้ท่านประธานมีบอดี้การ์ดเป็นนกยูงคู่หนึ่ง ที่ชอบเดินอวดขน ชี้ชัน มันทำรังบนต้นไม้สูงใกล้ที่พัก

มีอยู่วันหนึ่งคณะที่มาเยี่ยมมีคนเดินหลงป่า เพราะว่าพื้นที่กว้าง เดินแทบตายหาทางกลับที่พักไม่ถูก แต่ได้ยินเสียงร้องของนกยูงและรู้ว่านกยูงอยู่ใกล้ที่พักท่านประธานจึงค่อยๆคลำทางกลับมาได้ตามเสียงนกร้องของยูง

ธนาคารต้นไม้สตึกไม่มีเงินฝาก แต่มีทรัพย์สินที่มั่นคงกว่าธนาคารใดๆในโลก และที่สำคัญคนไทยทุกคนมีสิทธิเป็นเจ้าของธนาคารต้นไม้ได้ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ถ้าลงมือทำวันนี้ด้วยความเพียร ไม่ย่อท้อ จะมีโอกาสที่จะมีชีวิตที่ดีและมั่นคง

ไม่ต้องคิดว่าต้องรวย แต่จะพอมีพอกินเป็นอยู่อย่างสบาย ที่จริงแล้วผืนแผ่นดินไทยใหญ่พอที่จะให้คนไทยทุกคนทำกินมีชีวิตสบายตามสถานะ แต่ผืนแผ่นดินไทยไม่ใหญ่พอสำหรับคนที่โลภมากหรือเห็นแก่ตัว
 thanong
 11/12/2016



บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #217 เมื่อ: ธันวาคม 17, 2016, 10:53:39 AM »

มินิซีรี่ส์
 11. วิถีพอเพียง

วิถีพอเพียงและวิถีทุนนิยมอยู่กันคนละขั้วทั้งในทางทฤษฎีและทางปฏิบัติ รวมทั้งเรื่องของคุณธรรมหรือจิตใจ

1. วิถีพอเพียงรู้จักพอ วิถีทุนนิยมไม่รู้จักพอ

2. วิถีพอเพียงเน้นการเป็นเจ้าของร่วมในทรัพย์สินของชุมชน (community ownership); ส่วนทุนนิยมเป็นเรื่องของความเป็นเจ้าของทรัพย์สินของเอกชน (private ownership)

3. วิถีพอเพียงเน้นการผลิตเพื่อยังชีพ ส่วนที่ผลิตเกินถึงเอาไปขายเพื่อเป็นเงินออม เมื่อไม่ได้่มุ่งขายแสวงหาผลกำไร สินค้าจึงมีราคาดีและมีคุณภาพ; ส่วนวิถีทุนนิยมเป็นระบบการผลิตให้ได้ปริมาณมาก (mass)เพื่อสนองการบริโภคที่เกินตัว แล้วหาทางเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและการลดต้นทุน

4. วิถีพอเพียงเน้นการออมที่ได้มาจากการขายของการผลิตส่วนเกิน ไม่ได้เอาเงินเป็นตัวตั้ง ไม่มีเงินก็อยู่ได้ ไม่ได้แสวงหาผลกำไรเป็นเป้าหมายสูงสุด; วิถีทุนนิยมเอาเงินทุนเป็นตัวตั้ง ไม่มีเงินจะเริ่มทำอะไรไม่ได้ และยึดเอาผลกำไรเป็นเป้าหมายสูงสุด

5. ในวิถีพอเพียง หนี้เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ; ในวิถีทุนนิยม หนี้เป็นสิ่งที่ดี โดนัลด์ ทรัมป์คุยโวว่าเขาเป็นราชาแห่งหนี้ (King of Debt) เพราะว่าเขาสามารถใช้เงินของชาวบ้าน หรือกู้แบงก์ หรือระดมทุนจากนักลงทุนมาสร้างอาณาจักรธุรกิจของเขาให้ยิ่งใหญ่ได้ โดยที่เขาเริ่มต้นด้วยทุนเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น

6. การผลิตคือการทำลาย ในขบวนการผลิตของวิถีพอเพียง จะระมัดระวังการทำลายทรัพยากร ถ้าจะทำลายต้องคุ้มจริงๆกับสิ่งที่เสียไป วิถีพอเพียงพยายามต่อยอดให้ทรัพยากรเกิดการหมุนเวียน; วิถีทุนนิยมจะทำลายทรัพยากรธรรมชาติ โดยไม่สนใจว่าทรัพยากรธรรมชาตินั้นจะหมดไปจากโลก หรือจะทดแทนได้หรือไม่ สิ่งที่ได้มาจากการผลิตของทุนนิยมจะไม่คุ้มกับสิ่งที่ทำลายลงไป

7. แรงงานในวิถีพอเพียงทำด้วยใจ เพราะว่ามีความรู้สึกร่วมในกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ชุมชนเป็นเจ้าของ; แรงงานในวิถีทุนนิยมทำเพื่อเงินไม่ได้ทำด้วยใจ จะสนใจเฉพาะเงินเดือนหรือค่าจ้าง

8. ความเหลื่อมล้ำในสังคมวิถีพอเพียงจะมีน้อย เพราะว่าต่างคนต่างมีหน้าที่ในชุมชน และได้ผลตอบแทนตามสมควร; ในขณะที่ในวิถีทุนนิยม นายทุนจะรวยล้นฟ้า ส่วนมนุษย์กินเงินเดือน หรือแรงงานจะชักหน้าไม่ถึงหลัง

9. วิถีพอเพียงจะเน้นการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ ไม่พยายามเอาชนะกฎของธรรมชาติ วิถีทุนนิยมจะพยายามคิดเทคโนโลยี่เพื่อเอาชนะธรรมชาติ แต่เราทราบกันดีว่า กฎของธรรมชาติไม่มีใครชนะได้

10. แรงงานในวิถีพอเพียงเป็นคนที่มีศักดิ์ศรี เป็นมนุษย์ที่มีจิตใจ; แรงงานในวิถีทุนนิมเหมือนทาสสมัยใหม่ เหมือนเหมือนหุ่นยนต์

11. ขบวนการผลิตในวิถีพอเพียงจะเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ จะไม่ฝืนธรรมชาติเพื่อเร่งผลผลิต ใช้ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยอินทรีย์ และรักษาสิ่งแวดล้อม; ขบวนการผลิตในวิถีทุนนิยมจะฝืนธรรมชาติ เพื่อเร่งผลผลิตผ่านการฉีดยา ใช้ปุ๋ยเคมี แต่มีผลทำลายสิ่งแวดล้อม

12. วิถีพอเพียงเป็นเรื่องผลประโยชน์ส่วนรวม; วิถีทุนนิยมเป็นเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัว

13. วิถีพอเพียงจะเน้นการลดกิเลส; วิถีทุนนิยมจะเพิ่มกิเลสให้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

14. เศรษฐีของวิถีพอเพียงคือผู้ให้ที่ไม่เห็นแก่ตัว แม้จะมีน้อยยังให้ หรือแบ่งปันให้คนอื่นได้; เศรษฐีของวิถีทุนนิยมจะเห็นแก่ตัว มีเงินฝากร้อยล้าน พันล้านหมื่นล้านฝากในแบงก์ และไม่แบ่งให้ใคร

15. วิถีพอเพียงเน้นการอยู่ร่วมกับคู่แข่ง วิถีทุนนิยมจ้องจะทำลายคู่แข่งเพื่อการผูกขาด

16. วิถีพอเพียงต้องการปกป้องที่ดินทำกิน และทรัพยากรธรรมชาติให้ลูกหลานคนไทย; วิถีทุนนิยมต้องการขายที่ดินทำกิน และเซ็งลี้ทรัพยากรธรรมชาติให้ต่างชาติ

17. วิถีพอเพียงเน้นการบริโภคภายใน เมื่อมีการผลิตส่วนเกินแล้วค่อยส่งออก; วิถีทุนนิยมเน้นการผลิตที่เกินกำลังการบริโภคภายในเพื่อการส่งออก

18. วิถีพอเพียงพึ่งพาตัวเองได้ วิถีทุนนิยมต้องพึ่งพาคนอื่นอยู่ร่ำไป

19. ในวิถีพอเพียง ไม่เน้นการสะสมทรัพย์จนเกินตัว; ในวิถีทุนนิมความร่ำรวยคือการมีทรัพย์สินมากๆและมีเงินฝากมากๆในแบงก์ โดยไม่รู้จักพอ

20. วิถีพอเพียงเป็นวิถีของใจ; วิถีทุนนิยมเป็นวิถีของการสนองความอยากที่ไม่สิ้นสุด

21. วิถีพอเพียงเน้นการอยู่รอดของชุมชน หรือส่วนรวม; ในวิถีทุนนิยม ต่างคนต่างคิดถึงแต่ตัวเองแบบตัวใครตัวมัน

22. วิถีพอเพียงจะเน้นการรักษาจารีตประเพณี หรือรากเหง้าของชุมชน; วิถีทุนนิยมนำพอสังคมสู่ความแปลกแยก เพราะว่าต่างคนต่างอยู่ แข่งกันบริโภค

23. วิถีพอเพียงใช้คุณธรรมนำ มีศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ; วิถีทุนนิยมใช้กฎหมายบังคับให้คนอยู่ในกฎระเบียบ ในขณะที่นายทุนหรือผู้อำนาจไม่อยู่ในกฎระเบียบ

24. วิถีพอเพียงบริโภคในสิ่งที่จำเป็น; วิถีทุนนิยมเน้นการก่อหนี้เพื่อการบริโภค

25. วิถีพอเพียงเน้นความยั่งยืนของสังคมและสภาพแวดล้อม วิถีทุนนิยมทำลายสังคมและสภาพแวดล้อม

26. วิถีพอเพียงเน้นการไม่เบียดเบียน; วิถีทุนนิยมมุ่งการเอาเปรียบ กดขี่

27. วิถีพอเพียงเน้นการแบ่งปัน; วิถีทุนนิยมเน้นการกินรวบ การผูกขาด

28. ในวิถีพอเพียง รายได้ของชุมชนมีเข้ามาอย่างสม่ำเสมออย่างพอมีพอกิน; ในวิถีทุนนิยม เศรษฐกิจจะดี หรือคนจนจะมีงานทำ หรือมีรายได้เพิ่มเมื่อคนมีเงินลงทุนหรือใช้จ่าย

กล่าวโดยสรุปแล้ว วิถีพอเพียงเป็นวิถีแห่งในที่มีคุณธรรมและมีความยั่งยืน เพราะว่าเน้นการช่วยเหลือกัน การแบ่งปัน การไม่เบียดเบียน มีความเหลื่อมล้ำน้อย การรักษาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และที่สำคัญที่สุดเน้นการให้ ผู้ที่ให้คือผู้ที่เป็นเศรษฐี หรือผู้ที่มั่งมีจริงๆ

ส่วนวิถีทุนนิยมเป็นวิถีแห่งความโลภ มีความเหลื่อมล้ำสูงระหว่างนายทุนและผู้ที่ใช้แรงงาน มีการใช้ทรัพยากรอย่างฟุ้มเฟือยเพื่อตอบสนองการบริโภคที่ฟุ่มเฟือย มีการก่อหนี้มากกว่าทุน ทำลายสภาพแวดล้อมมากกว่าการรักษา วิถีทุนนิยมเอากำไรเป็นตัวตั้ง มีความเห็นแก่ตัวสูง และไม่คำนึงถึงคุณธรรม ความยั่งยืนไม่มี
 thanong
 12/12/2016



บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #218 เมื่อ: ธันวาคม 17, 2016, 10:56:29 AM »

มินิซีรี่ส์
 12. วิถีพอเพียง

มีคนกล่าวได้น่าฟังเลยทีเดียวเกี่ยวกับวิถีทุนนิยม ว่าทุนนิยมได้กลายเป็นศาสนาไปแล้ว และได้เข้ามาแทนที่ทุกศาสนา

ทุนนิยมเป็นศาสนาที่อยู่ในจิตสำนึกของทุกคนในยุคสมัยใหม่ โดยที่ไม่มีใครตั้งคำถาม เพราะว่าทุกคนถูกฟอกย้อมและเกิดความเคยชินในการอยู่ในระบบ

ในศาสนาทุนนิยมนี้ ธนาคารเปรียบเหมือนโบสถ์ที่ศักดิ์สิทธิ์ บุคคลล้มละลายได้ ครอบครัวล้มละลายได้ ธุรกิจล้มละลายได้ เศรษฐกิจล้มละลายได้ แต่ธนาคารล้มไม่ได้

ใครจะอยู่หรือจะไปไม่ใช่ประเด็น แต่ธนาคารต้องรอดก่อน โดยมีภาษีของประชาชนคอยอุ้มเวลาธนาคารล้ม มีข้ออ้างว่าถ้าธนาคารล้มประเทศก็จะล้มไปด้วย แต่เวลาทำกำไร แบงก์เก็บความรวยใส่กระเป๋าแต่ผู้เดียว

นายธนาคารเปรียบเหมือนนักบวชในศาสนาทุนนิยม ที่พูดอะไรออกไปแล้วใครๆก็ต้องเชื่อ โดยไม่มีการโต้แย้ง เพราะว่านายธนาคารควบคุมกลไกของเงิน และพูดตามคำภีร์ หรือตำราในการสร้างความร่ำรวยที่ศักดิ์สิทธิ์

มีเพียงนายธนาคารเท่านั้นที่จะรู้เรื่องการเงินและเศรษฐกิจดีที่สุด หรือสามารถบริหารการเงิน การคลังของประเทศได้

ตำแหน่งรัฐมนตรีการคลังต้องให้นายธนาคารหรือนักบวชบริหารเท่านั้นบริหาร เมื่อยกการเงินและการคลังให้นายธนาคารบริหาร ก็เปรียบเหมือนเอาลูกกวางไปให้สิงห์โตเลี้ยง

ในศาสนาทุนนิยม ความร่ำรวยคือสวรรค์ ความยากจนคือนรก

ให้เลือกเอาว่าจะไปสวรรค์หรือจะลงนรก ทุกคนต่างตระเกียกตระกายหนีนรก เพื่อไปสวรรค์ให้ได้ไม่ว่าด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่ง

แต่ประตูสวรรค์คับแคบมาก มีเพียงไม่กี่คนจะไปสวรรค์ได้ ที่เหลือส่วนมากจะตกนรก

คนรวยเปรียบเหมือนนักบุญ ส่วนคนจนเปรียบเหมือนคนบาป

คนรวยทำอะไรก็ดูดีไปหมด เหมือนกับว่าเป็นคนที่ได้รับบุญจากพระเจ้า ส่วนคนจนที่จนเพราะว่าทำบาปมามาก สมควรที่จะถูกลงโทษให้จนต่อไป

สินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆที่คนจนผลิตขึ้นมาด้วยหยาดเหงื่อและแรงงานเปรียบเหมือนเป็นของขวัญที่พระทานพรมาจากสวรรค์

ในศาสนาทุนนิยม เงินคือพระเจ้า ทุกคนบูชาเงินหมด เพราะว่าเงินเท่านั้นที่จะบันดาลความสุขให้ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างซื้อขายได้ด้วยเงิน โดยไม่มีข้อแม้

ศาสนาทุนนิยมคือวัตถุนิยม และไม่ให้ค่ากับจิตนิยม คนในระบบทุนนิยมสะสมเงิน สะสมวัตถุ โดยไม่คำนึงถึงจิตใจที่ดีงาม

โลภ โกรธ หลงคือสารัตถะของศาสนาทุนนิยม

แต่ในวิถีพอเพียง ความพอเพียงคือหัวใจของศาสนาพุทธ โดยมีใจเป็นตัวตั้ง

ในวิธีพอเพียง มีระบบพ่อปกครองลูก และมีพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์เป็นสถาบันหลัก

ในวิถีพอเพียง ประชาชนในชุมชนมีความเท่าเท่ียมกัน ต่างคนต่างทำตามหน้าที่ และความรับผิดชอบ ไม่มีนายทุนคอยบงการ

ผลผลิตที่ได้มาในการผลิตจะแบ่งปันกันตามความเหมาะสม เมื่อทุกคนยังชีพได้แล้ว ความร่ำรวยจะตามมาทีหลัง

เมื่อไม่เอาเงินเป็นที่ตั้ง เงินก็จะไม่มีความหมาย เมื่อเงินไม่มีความหมาย ความร่ำรวยจะตามมา เพราะว่าไม่ได้เล่นตามเกมของเงิน

ความร่ำรวยในวิถีพอเพียง คือจิตใจที่สูงส่ง และการรักษาทรัพยากรธรรมชาติที่หมุนเวียนให้ผลให้ดอก โดยไม่มีวันหมด

จะพอมีพอกินไปจนถึงลูกหลานเหลนโหลน

ในวิถีพอเพียง สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ

คนเราเมื่อพอแล้ว ทุกอย่างก็จบ จะเห็นสวรรค์ทันที แทนที่จะแสวงหาความร่ำรวยโดยไม่มีที่สิ้นสุด แต่จะหาวิถีที่จะทำให้ใจบริสุทธิ์ที่สมบูรณ์แทน

นรกในวิถีพอเพียงคือการอยู่ไปวันๆ โดยไม่มีจุดมุ่งหมาย หรือความรับผิดชอบ

ความจริงในทุกระบบ ยิ่งทำมาก ยิ่งจะรวยมากอาจจะจริงในระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น แต่ในระยะยาวแล้ว ยิ่งทำมาก ยิ่งสร้างปัญหามาก ยิ่งทำมากยิ่งจะสร้างความเสี่ยงมากยิ่งขึ้น

เวลาสถานการณ์พลิกฝัน ความร่ำรวยทั้งหมดอาจจะสูญหายได้อย่างฉับพลันเพราะว่าในขบวนการผลิต หรือการสร้างความรวยจะต้องมีการทำลายควบคู่กันไปด้วย

ถ้าทำลายมากกว่าสร้าง ในที่สุดความมั่งคั่งจะไม่สามารถรักษาได้

ในเมื่อสังคมส่วนรวมอยู่ไม่ได้ หรือสภาพแวดล้อมอยู่ไม่ได้ ทั้งคนรวยคนจนก็จะอยู่ไม่ได้เหมือนกัน

วิถีพอเพียงจะไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง จะสร้างมากกว่าทำลาย จะรักษามากกว่าการบริโภคที่ไม่จำเป็น

ในวิถีทุนนิยม กำไรคือเป้าหมายสูงสุดความร่ำรวยคือเงินฝากในธนาคาร หรือทรัพย์สินที่ออกดอกออกผลมากๆ

ในวิถีพอเพียง ความร่ำรวยอยู่ที่การรู้จักพอ และการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติที่หมุนเวียนและออกดอกออกผลอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ความร่ำรวยไม่ใช้เงินทองที่เก็บในธนาคาร แต่เป็นการให้ หรือการแบ่งปันสำหรับผู้ที่ไม่มีพอ

เมื่อศาสนาทุนนิยมเข้าสู่ความเสื่อม วิถีพอเพียงจะฟื้นขึ้นมาแทนที่
 thanong
 13/12/2016


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #219 เมื่อ: ธันวาคม 17, 2016, 10:58:12 AM »

มินิซีรี่ส์
 13. วิถีพอเพียง

สมัยวัยรุ่น ผมเคยไปกินก๋วยเตี๋ยวหมูร้านหนึ่งอยู่แถวถนนสุขุมวิท อร่อยมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งก๋วยเตี๋ยวหมูต้มยำ ยิ่งเป็นก๋วยเตี๋ยวแห้งต้มยำแล้วยิ่งอร่อย เพราะว่าเนื้อหมูต้มจนได้ที่ มีทั้งหมูสับและหมูเป็นชิ้น ลูกชิ้นหมูรสชาติเลอเลิศ เพราะว่าทำเองสดๆ มีลูกชิ้นปลาฝานเป็นชิ้นๆโรยด้วย ใส่ถั่วงอกเข้ามาให้ได้ที่ ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่เลยทีเดียวที่ได้มากินก๋วยเตี๋ยวที่ร้านนี้ เพราะว่าเวลากินก๋วยเตี๋ยวต้มยำน้ำชาม แห้งชาม มันจะซี๊ดซ๊่าดแซบมาก

มันแซบจนรู้สึกว่าตัวเองเหมือนกับเป็นพวกมนุษย์เผ่ากินคนที่แย่งกันกินซุปกินเนื้อตุ๋นนักท่องเที่ยวที่พลัดหลงในป่าดงดิบ จับนักท่องเที่ยวหน้าเซ่อๆลงหม้อตุ๋นไปเลย สะใจดีแท้

ร้านก๋วยเตี๋ยวนี้มีพ่อเป็นคนปรุง มีแม่เป็นผู้ช่วย ส่วนลูกชาย ลูกสาวคนอื่นๆเป็นคนเสิร์ฟ ร้านแน่นตลอดเวลา มือไม้ของพ่อที่ปรุงก๋วยเตี๋ยวไม่เคยว่าง จะได้ยินเสียงตระโกนสั่งอาหารและเครื่องดื่มดังลั่นทั้งร้านที่ดูยุ่งเหยิง โต๊ะไม่เคยเช็ดแห้ง เพราะว่าเวลาลูกค้าที่กินเสร็จแล้วลุก คนใหม่จะเข้ามานั่งแทนทันที

ผมจำลูกชายที่เสิร์ฟก๋วยเตี๋ยวได้ เพราะว่าอายุพอๆกัน ไม่แน่ใจว่าเขาได้เรียนหนังสือหรือไม่ ถ้าได้เรียน อาจจะจบไม่สูง

เมื่อไม่นานมานี้ ได้กลับไปกินร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าเดิมอีกครั้ง ไม่เห็นหน้าพ่อหน้าแม่ที่เคยปรุงก๋วยเตี๋ยวอีก ตอนนี้คนปรุงก๋วยเตี๋ยวคือลูกชายที่เคยเสิร์ฟก๋วยเตี๋ยว

ใจผมสะดุ้งขึ้นมาทันที หน้าตาเขาไม่เปลี่ยน แค่ดูแก่ขึ้น มือของเขาง่วนอยู่กับการปรุงก๋วยเตี๋ยวสูตรเดิมที่ได้รับมรดกมาจากพ่อแม่ รวมทั้งตึกแถว2คูหา เขายืนอยู่หน้าหม้อซุปที่เดือดปุดๆ ทำให้รู้สึกร้อน เขาจะมีหยาดเหงื่อที่หน้าตลอดเวลา ทำให้ต้องคอยเช็ดเหงื่อ เด็กเสิร์ฟคือลูกๆของเขา หน้าตาเป็นเด็กสมัยใหม่ ได้เรียนหนังสือดี ไม่เหมือนพ่อที่ไม่มีโอกาสได้เรียน แต่เวลาว่างไม่ได้เรียนหนังสือ พวกลูกๆก็มาช่วยพ่อเสิร์ฟอาหาร

เมื่อ40กว่าปีที่แล้ว รสชาติก๋วยเตี๋ยวหมูต้ำยำที่พ่อแม่เขาปรุงเป็นอย่างไร ตอนนี้รสชาติยังเป็นอย่างนั้น ไม่เปลี่ยนแปลง

นี้คือธุรกิจพอเพียงขนาดเล็ก ทำแบบพอมีพอกิน แต่ทำด้วยใจ มีสูตรก๋วยเตี๋ยวหมูต้มยำที่ไม่มีใครเหมือน ไม่ได้คิดที่จะขยายสาขา ไม่ได้คิดที่จะขึ้นห้าง ไม่ได้คิดที่จะต้องรวยมาก เปิดร้านตอนเช้าตรู่ สายๆก็ปิดร้านแล้ว เพราะว่าพอแล้ว เอาแค่นี้ก็พอ

ไม่ได้หวังรวย แต่เนื่องจากอดออม เพราะว่าไม่ได้ไปเที่ยวเตร่หรือใช้จ่ายเงินสุรุ่ยสุร่ายจึงมีเงินออม

ลูกชายที่รับช่วงกิจการมาจากพ่อแม่มีเงินมากพอที่จะส่งลูกทุกคนให้เรียนสูงๆ ถึงแม้ว่าเขาไม่ได้เรียนสูงแต่เขาปรุงก๋วยเตี๋ยวที่รสชาติสุดยอด ทำให้คนกินมีความสุข แม้ว่าเขาจะเหนื่อยกาย แต่เขาทำตามหน้าที่ เขาไม่มีนายที่คอยชี้นิ้วดุด่า อาจจะไม่ได้แต่งตัวโก้ๆไปทำงานออฟฟิส แต่เขาเป็นตัวของเขาเอง

ธุรกิจหรือกิจการก๋วยเตี่๋ยวไม่มีความเสี่ยงว่าจีดีพีจะโตหรือไม่โต ส่งออกดีหรือไม่ดี จะมีนักท่องเที่ยวมาไทยหรือไม่ เพราะว่ามีลูกค้าประจำที่มากินจนอยู่ตัวแล้ว

เห็นชีวิตที่วงจรของการปรุงก๋วยเตี๋ยวมาบรรจบจากพ่อแม่ สู่ลูกชายด้วยวิถีแห่งความพอเพียง ทำให้คิดถึงหนังthe Lion King -- Circle of Life ที่สิงห์โตราชาเจ้าป่า ปกครองป่า และต่อมาลูกสิงห์โตกลับมาย้อนรอยพ่อเพื่อช่วงชิงความเป็นเจ้าป่ากลับมาได้
https://www.youtube.com/watch?v=GibiNy4d4gc

ชะตากรรมคนและสัตว์เหมือนกันตรงที่ต้องผ่านวงจรชีวิตเหมือนกัน ชีวิตที่มั่นคงและมีความสุขที่สุดคือชีวิตที่ทำในสิ่งที่ตัวเองทำได้ดีที่สุด และรู้จักพอ โดยไม่ต้องเปรียบเทียบตัวเรากับใคร หรือไม่ต้องบนบานกับเทวดาฟ้าดิน
 thanong
 13/12/2016


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #220 เมื่อ: ธันวาคม 17, 2016, 11:00:36 AM »

มินิซีรี่ส์
 14. วิถีพอเพียง

ชัย บ่อเกลือ เป็นเจ้าของร้านกาแฟเล็กๆ แต่เป็นพนักงานดีเด่นของธนาคารออมสิน

เขามีร้านกาแฟที่น่ารัก ตกแต่งด้วยไม้ไผ่ มุงด้วยใบจาก ดูเรียบง่าย อยู่ในอำเภอที่ห่างไกลทางจังหวัดทางภาคเหนือของประเทศไทย เขาทำงานคนเดียว โดยไม่มีคนช่วย เงินลงทุนทั้งหมดในร้านกาแฟมาจากการกู้ยืมเงินจากธนาคารออมสิน

ชัย บ่อเกลือกู้เงิน200,000บาทจากธนาคารออมสินเพื่อมาเปิดร้านกาแฟที่นี่เพราะว่าย้ายมาอยู่กับแฟนที่ทำงานที่โรงพยาบาล เขาใช้เงิน100,000กว่าบาทเพื่อซื้อเครื่องทำกาแฟ เงินกู้ที่เหลือเอามาใช้จ่ายในการทำร้านและซื้ออุปกรณ์อื่นๆ

ชัย บ่อเกลือไม่ได้หวังรวย หวังแค่พอมีรายได้เพื่ออยู่ได้เท่านั้น

"ผมกู้เงินธนาคารออมสินมา200,000บาท ต้องผ่อนจ่ายเป็นระยะเวลา20ปี นอกจากเงินต้นแล้ว ผมต้องผ่อนจ่ายดอกเบี้ยอีก140,000บาท" เขาพูดในขณะที่มือไม้กำลังง่วนอยู่กับการชงกาแฟเย็นให้ลูกค้าที่เป็นนักท่องเที่ยว

"ผมเป็นพนักงานดีเด่นของธนาคารออมสิน"

คำพูดของชัย บ่อเกลือไม่ได้ให้ความรู้สึกทานดัน แต่เป็นการสะท้อนมุมมองของเขาที่ถูกสถานการณ์บีบรัดอยู่ตลอดเวลา เพราะว่าต้องทำงาน มีรายได้ใช้หนี้แบงค์ออมสินทุกเดือน

ผ่อนทั้่งเงินต้น และดอกเบี้ยมหาโหดทำให้ชัย บ่อเกลือเป็นพนักงานดีเด่นของธนาคารออมสิน เพราะว่าเขาเป็นคนทำให้ธนาคารอยู่ได้ ไม่ใช่พนักงานที่กินเงินเดือนของธนาคาร

ชัย บ่อเกลืออายุ30ปีต้นๆ หลังจากปลดหนี้ธนาคารออมสินแล้ว เขาจะมีอายุ50กว่าปี

ธนาคารออมสินตั้งขึ้นมาด้วยนโยบายการออมของรัชกาลที่6 โดยพระองค์ทรงมีพระประสงค์ให้เด็กไทย คนไทยรู้จักการออม รู้จักเก็บเล็กผสมน้อยเพื่อเป็นทุนในวันข้างหน้า หรือเวลามีเหตุฉุกเฉินต้องใช้จ่ายเงิน จะมีเงินออมเอามาใช้

มาวันนี้ธนาคารออมสิน ซึ่งเป็นธนาคารของรัฐใช้วิธีการคิดดอกเบี้ย ทบต้นในการทำธุรกิจเหมือนธนาคารพานิชย์อื่นๆ

ไม่รู้เหมือนกันว่าเมืองไทยเอาระบบการคิดดอกเบี้ยทบต้นนี้แบบนี้เข้ามาตั้งแต่เมื่อใด ฝรั่งเรียกระบบการคิดดอกเบี้ยแบบนี้ว่าBabylonian debt slavery system หรือระบบหนี้ทาสแบบบาบิโลเนียนที่พวกยิวคิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยบาบิโลเนียนโบราณ

ยิ่งเราเปิดเสรีการค้า การลงทุน และเศรษฐกิจโดยเอาระบบทุนนิยมมาใช้ สิ่งที่ตามมาคือทุนนิยมการเงิน ทุนนิยมการเงินคือระบบหนี้นั้นเอง เพราะว่าอีกด้านหนึ่งของทุนคือหนี้ เวลาเรามีเงิน หรือมีทุน คนอื่นต้องการเอาเงิน หรือเอาทุนเราไปใช้ หมายความว่าเขาจะเป็นหนี้เรานั้นเอง

ในความเป็นจริง เงินทุนจะอยู่ในมือของนายทุนไม่กี่ราย และเงินทุนนี้จะอยู่ในระบบธนาคารที่เป็นตัวกลางในการกู้ยืมเงินจากนายทุนหรือประชาชนทั่วไปเพื่อเอาไปปล่อยกู้กินดอกเบี้ยอีกต่อหนึ่ง ส่วนประชาชนทั่วไปจะเป็นลูกหนี้ของนายทุนและธนาคาร

ในระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่เป็นระบบที่ไม่พอเพียง เพราะว่าจะเอื้อให้มีการก่อหนี้เพื่อการบริโภค และการลงทุน ทุกคนมีความรู้สึกว่าอยากจะมีชีวิตที่ดี หรืออยากจะรวยเร็ว ทำให้ต้องมีการกู้ยืมเงินมาใช้ล่วงหน้า แล้วผ่อนทีหลัง

เห็นอะไรก็อยากได้ เห็นของอะไรก็รู้สึกว่าเราจำเป็นต้องมี ทั้งๆที่ความจริงแล้วมันไม่ได้มีความจำเป็นอะไรเลย

ครั้นคิดอยากจะลงทุน ก็เอาเงินเป็นตัวตั้ง กู้ยืมเงินมาจำนวนมากเหมือนกับชัย บ่อเกลือทำให้ติดกับอยู่ในระบบหนี้

เวลากู้เงินมาใช้มันง่ายมาก เงินหายออกจากบัญชีอย่างรวดเร็ว แต่เวลาจะหาเงินมันลำบากมาก เงินจะเข้าบัญชีแต่ละบาท มันยากเย็นแสนเข็ญ

ไม่ใช่ว่าทุกคนกู้ยืมเงินมาทำธุรกิจจะประสบความสำเร็จทุกคน เห็นง่ายๆ แต่มันไม่ง่ายเวลาลงมือทำธุรกิจกันจริงๆ

ด้วยเหตุนี้คนไทยจึงเป็นหนี้กันทั้งประเทศในเวลานี้ ตัวเลขหนี้ครัวเรือนล่าสุดของไทยณ สิ้นไตรมาสแรกของปีนี้อยู่ที่ระดับ 11.08 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 81.1% ต่อจีดีพี
http://www.thansettakij.com/2016/07/08/68087

หนี้ที่คนไทยติดกับดักอยู่ เป็นหนี้ในระบบบทาสหนี้บาบิโลเนียนโบราณที่ต้องเอาลูกสาวไปขายเป็นทาสใช้หนี้ เพราะว่ามีการคิดดอกเบี้ยทบต้น แต่เวลาแบงก์รับฝากเงินไม่ได้คิดทบต้นให้ผู้ฝากเหมือนกับที่ปล่อยกู้

คนไทยอยากจะทำธุรกิจพอเพียง อยากจะอยู่อย่างพอเพียง แต่พอเจอกับระบบทาสหนี้แบบนี้ทำให้ทุกคนชักหน้าไม่ถึงหลังกันถ้วนหน้า

ชัย บ่อเกลือก้มหน้าก้มตายอมรับชะตากรรมของตัวเอง เหมือนกับSisyphusในเทพนิยายกรีกโบราณที่ถูกพระเจ้าทำโทษด้วยการสาปSisymphusให้ต้องเข็นหินก้อนใหญ่ขึ้นภูเขา แล้วปล่อยมันกลิ้งลงมา แล้วเข็นก้อนหินขึ้นไปแล้วปล่อยให้มันกลิ้งลงมาใหม่เรื่อยๆ เป็นการลงโทษให้ตกนรกทั้งเป็น เพราะว่าต้องทำงานหนักในสิ่งที่ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง

แต่ชัย บ่อเกลือมีจิตใจที่ดี ร้านกาแฟของเขาช่วยชาวบ้านด้วยการรับวางขายข้าวถุง บางทีมีการส่งข้าวถึุงเข้าไปขายในกรุงเทพฯ

เขาวางแก้วใบหนึ่งอยู่บนเคาเตอร์ เวลาขายกาแฟได้ จะหักมา10%เพื่อเอาเงินนั้นไปซื้อผ้าอ้อม หรือข้าวของที่จำเป็นสำหรับผู้ป่วยในโรงพยายาบาลที่ยากจน

ชัย บ่อเกลือ พนักงานดีเด่นของธนาคารออมสิน เป็นคนที่มีจิตสำนึกทางสังคมสูงส่งทั้งๆที่เขาเป็นคนธรรมดา ต้องปากกัดตีนถีบกับภรรยาเพื่อเลี้ยงชีพในระบบทุนนิยมปัจจุบันที่ทำทุกอย่างเพื่อสกัดไม่ให้ความพอเพียงขั้นต่ำอยู่ได้

แม้ว่ารายได้จะชักหน้าไม่ถึงหลังบ้าง เขายังหักรายได้10%เพื่อช่วยสังคม แก้วเล็กใบนั้นบนเคาเตอร์อาจจะเก็บเศษเงินได้ไม่มาก แต่มันคือเงินออมของชาติ

เงินออมของชาติเริ่มต้นจากเงินเศษสตางค์ไม่กี่บาทที่เก็บหอมออมริบ แต่ต้องมีผู้เริ่มต้นก่อน กล้าที่จะทำดีจากจุดเล็กๆ เพื่อไปหาความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่

ระบบการเงินแบบพอเพียงจะไม่คิดดอกเบี้ยทบต้น ใครผ่อนจ่ายเงินกู้ดี จะได้ลดดอกเบี้ยด้วยซ้ำ จะมาช่วยคนไทยด้วยกันปลดพันธนาการจากระบบหนี้ทาสของบาบิโลน

ชัย บ่อเกลือเริ่มแล้ว และเมื่อทุกคนทำเหมือนชัย บ่อเกลือ เงินออมในแก้วใบเล็กๆในระดับจุลภาคที่มารวมกันจะกลายเป็นเงินออมของชุมชน ก่อนที่จะกลายเป็นเงินออมแห่งชาติในระดับมหภาคในที่สุด
 thanong
 14/12/2016



บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #221 เมื่อ: ธันวาคม 17, 2016, 11:02:51 AM »

มินิซีรี่ส์
 15. วิถีพอเพียง

ดังได้กล่าวมาแล้ว วิถีพอเพียงคือวิถีของใจ ถ้าจะคิดเริ่มทำธุรกิจพอเพียง ต้องเริ่มต้นที่ใจก่อน

ใจต้องรักในสิ่งที่อยากจะทำ ต้องเรียนรู้ด้วยความใส่ใจ ต้องมีความสนใจ ต้องมีใจที่มุ่งมานะ และที่สำคัญที่สุดต้องมีใจที่เข้าใจ

เมื่อมีใจที่เข้าใจแล้ว เราถึงจะเข้าถึง การเข้าถึงคือการเข้าใจอย่างถ่องแท้ในสิ่งที่เราทำ

เมื่อเราเข้าใจ และเข้าถึงแล้ว เราถึงจะลงมือปฏิบัติในการประกอบธุรกิจพอเพียง

ทั้งหมดนี้ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูอดุลยเดชทรงสอนให้เราหมดแล้ว ด้วยหลักเข้าใจ เข้าถึง พัฒนา

ชัย บ่อเกลือเป็นเด็กหนุ่มที่มีความตั้งใจดี เป็นคนดีของสังคม เป็นคนที่ควรที่จะเจริญก้าวหน้า หรือประสบความสำเร็จในสิ่งที่ตัวเองทำ คือประกอบกิจการร้านกาแฟ

แต่คำถามคือ ชัย บ่อเกลือเข้าใจ และเข้าถึงการปรุงกาแฟ หรือการประกอบธุรกิจพอเพียงหรือไม่ ก่อนที่เขาจะกู้เงิน200,000บาทมาลงทุนทำร้านกาแฟ

เมื่อตั้งต้นจะประกอบธุรกิจพอเพียงด้วยการเอาเงินเป็นตัวตั้ง หรือต้องกู้ยืมเงินมาก็ผิดแล้ว เพราะว่าจะทำให้ชัย บ่อเกลือติดหล่มอยู่ในระบบทุนนิยมการเงินที่ต้องใช้คืนทั้งเงินต้นทบดอกเบี้ย

ระยะเวลาผ่อนจ่าย20ปีเป็นสัญญาทาส

วิถีพอเพียงคือวิถีที่เป็นไท พึ่งตัวเองให้มากที่สุด

ชัย บ่อเกลือใช้เงินประมาณ3ใน 4 หรือเกือบ150,000บาทที่กู้จากธนาคารออมสินเอามาซื้อเครื่องทำกาแฟ

เหมือนกับเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ

เริ่มต้นจะประกอบธุรกิจร้านกาแฟก็ผิดแล้ว เพราะว่าชัย บ่อเกลือเดินตามระบบธุรกิจสมัยใหม่ที่ถูกวางเอาไว้ คือต้องกู้เงิน และต้องซื้อเครื่ีองทำกาแฟที่ทันสมัยเพื่อให้ดูโก้หรู โดยที่ค่าบำรุงรักษาเครื่องทำกาแฟจะเป็นภาระในการใช้จ่ายอีกไม่รู้เท่าไหร่อนาคต

ชัย บ่อเกลือคิดว่าการทำธุรกิจกาแฟตามสูตรที่ระบบวางมาจะทำให้มีรายได้แบบพออยู่พอกิน และพอจ่ายหนี้

แต่ยิ่งทำยิ่งเหนื่อย ในขณะที่ต้องเป็นห่วงว่าตอนสิ้นเดือนจะมีเงินพอผ่อนจ่ายเงินกู้หรือไม่

พอทำนานๆ หรือช่วงไหน ขายกาแฟได้น้อยลง จิตใจจะเหนื่อยหล้า ชีวิตจะไม่มีความสุข ลูกค้าที่เข้ามาซื้อกาแฟก็ไม่มีความสุข เพราะว่าคนปรุงกาแฟหน้าตาหม่นหมอง

ความจริงแล้ว ถ้าชัย บางบ่อจะเริ่มทำร้านกาแฟจริงๆ เขาต้องเริ่มด้วยใจก่อน

ใจต้องรักกาแฟ สนใจการการปรุงกาแฟ ต้องมีความรู้เรื่องเมล็ดพันธุ์กาแฟ หรือการหาแหล่งวัตถุดิบที่ดีมีคุณภาพ แต่ราคาย่อมเยาว์

ต้องศึกษาหาความรู้อย่างดีในการคั่วเมล็ดกาแฟให้ได้ที่ หรือมีสูตรเป็นของตัวเอง รู้วิธีการปรุงให้ได้กาแฟที่มีรสกลมกล่อม มีความเพียรที่จะเป็นเลิศในการปรุงกาแฟ

ชัย บ่อเกลือไม่จำเป็นต้องลงทุนเป็นแสนบาทในการซื้อเครื่องทำกาแฟ อุปกรณ์ทำกาแฟหยด (Drip Coffee Maker) ราคาถูกมีถมไป จะทำให้การกินกาแฟของร้านชัย บ่อเกลือมีเสน่ห์ เพราะว่าปรุงด้วยใจ มองดูน้ำกาแฟที่หยดลงมาติ๋งๆผ่านตัวกรองแล้วเกิดอารมณ์โรแมนติก

ชัย บ่อเกลือควรจะขายปาท่องโก๋ด้วย ทอดแป้งแบบทีนวดยาวๆ เนื้อนุ่ม กินกับกาแฟแล้วเห็นสวรรค์ เพราะคนไทยชอบกินกาแฟกับปาท่องโก๋ตั้งแต่โบราณ ไม่ใช่กินกาแฟกับเค็ก

ลงทุนจริงไม่น่าจะเกิน20,000บาทในการประกอบธุรกิจกาแฟแบบพอเพียง เช่าสถานที่เล็กๆในที่ที่มีนักท่องเที่ยวไปมา มีโต๊ะเก้าอี้ไม่กี่ตัว มีเคาเตอร์ให้ยืนกิน

ถ้าต้องกู้ด้วยเงินจำนวนไม่เกิน20,000บาทเพื่อเริ่มธุรกิจกาแฟนี้พอรับได้ มีโอกาสสูงที่จะปลดหนี้ได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่จำเป็นต้องขายแพง ขายแก้วละ25 บาทก็ไปได้ ขายวันละ100แก้วจะมีรายได้2,500บาทเข้ามา ทุนไม่น่าจะถึง1,000บาท ค่าเช่าที่วันละ200-300บาท ที่เหลือจะเป็นกำไร

ประเทศไทยมีดีตรงที่เป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ด้วยการเกษตร ผลิตภัณฑ์ทางเกษตร รวมทั้งสมุนไพรต่างๆที่มีอยู่แล้ว สามารถเอามาเป็นวัตถุดิบในการเริ่มธุรกิจพอเพียงได้ ทำให้มีต้นทุนต่ำ หรือแทบจะไม่มี โอกาสสำเร็จมีสูงถ้าทำด้วยใจ

ความตอนหนึ่ง ในพระราชดำรัสในโอกาสที่คณะกรรมการสหกรณ์การเกษตร สหกรณ์นิคม สหกรณ์ประมง และสมาชิกผู้รับนมสดเข้าเฝ้าฯณ โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดาวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๓๐ มีว่า:

“...การกสิกรรมและอาชีพในด้านเกษตรทุกทุกอย่างย่อมต้องอาศัยปัจจัยสำคัญหลายด้าน ด้านหนึ่งก็คือหลักวิชาของการเพาะปลูก เป็นต้น และอีกด้านหนึ่งก็เป็นการช่วยให้เพิ่มหลักวิชาเหล่านั้น และเมื่อได้ปฏิบัติแล้วได้ผลิตผลแล้วก็จะต้องสามารถดัดแปลงและขายจำหน่ายผลิตผลที่ตนได้ทำ ฉะนั้นทุกอย่างต้องสอดคล้องกัน ความขยันหมั่นเพียรในการผลิต ความรู้ในวิชาการผลิตและความรู้ในการเป็นอยู่ ทั้งความรู้ในด้านจำหน่าย ล้วนเป็นความรู้ที่จะต้องประสานกันหมด...”

ชัย บ่อเกลือพลาดที่ไม่มีโอกาสเรียนรู้หลักของการทำธุรกิจพอเพียง คือต้องเริ่มที่ใจก่อน หลังจากเข้าใจในสิ่งที่ทำแล้ว จะต้องเข้าถึง เมื่อเข้าใจ และเข้่าถึงแล้ว ถึงจะลงมือประกอบกิจการ ซึ่งจะทำให้ประสบความสำเร็จและยั่งยืน

ไม่จำเป็นต้องรวยมาก แต่มีรายได้เข้ามาอย่างสม่ำเสมอ ไม่มีหนี้ และที่สำคัญที่สุด มีความสุขกับสิ่งที่ทำ และให้ความสุขกับลูกค้า

การเข้าสู่วิถีทุนนิยมเหมือนกับการเล่นเกมออนไลน์ เราไม่มีวันชนะ เพราะว่าโปรแกรมออกแบบเพื่อที่จะกินรวบอยู่แล้ว วิธีเดียวที่จะเอาชนะเกมออนไลน์ คือเล่นหมากเก็บดีกว่า
 thanong
 14/12/2016


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #222 เมื่อ: ธันวาคม 17, 2016, 11:04:36 AM »

มินิซีรี่ส์
 16. วิถีพอเพียง

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์ชั้นแนวหน้าของโลก เป็นนักสังคมนิยม เขาไม่เห็นด้วยกับทุนนิยม และไม่เชื่อว่าประชาธิปไตยจะให้ความเป็นธรรมแก่สังคมได้

เขาให้ข้อคิดว่า: "ทุนมักจะอยู่ในมือของคนเพียงไม่กี่คน ผลก็คือคณะบุคคลที่มีทุนจะมีอำนาจมหาศาล มากจนกระทั้งไม่สามารถจะตรวจสอบได้ แม้กระทั้งโดยสังคมการเมืองที่มีการจัดระบบในรูปแบบประชาธิปไตย"

ในปี1949 ไอน์สไตน์ เจ้าของทฤษฎีสัมพัทธภาพอันก้องโลกเขียนบทความชื่อว่า "ทำไมถึงต้องเป็นสังคมนิยม" ลงในวารสาร Monthly Review เพื่อชี้ให้เห็นถึงปัญหาในเชิงระบบของทุนนิยม เมื่อความร่ำรวยและอำนาจอยู่ในมือของคนไม่กี่คนที่รวมตัวกันเป็นหมู่คณะสามารถควบคุมสื่อ และสามารถโน้มเอียงให้นักการเมืองออกกฎหมายเพื่อให้ประโยชน์แก่พวกเขาได้ ด้วยวิธีการนี้เองที่เป็นการบ่อนทำลายประชาธิปไตย

ไอน์สไตน์เขียนว่า เงินทุนมักจะอยู่ในมือของนายทุนไม่กี่คน เนื่องจากว่ามีการแข่งขันกันเองระหว่างพวกนายทุนด้วยกัน และส่วนหนึ่งมาจากการพัฒนาเทคโนโลยี่ และการแบ่งงานการทำ ทำให้เกิดหน่วยการผลิตที่ใหญ่ขึ้น โดยที่หน่วยผลิตที่เล็กกว่าไม่สามารถที่จะแข่งขันหรืออยู่รอดได้

จากพัฒนาการเหล่านี้ทำให้เกิดคณะบุคคลที่มีเงินทุน และอำนาจมากจนกระทั่งไม่สามารถจะมีการตรวจสอบได้ในระบบการเมืองประชาธิปไตย

เรื่องนี้เป็นความจริง เพราะว่าสมาชิกของสภาที่ออกกฎหมายได้รับการคัดเลือกจากพรรคการเมืองที่ได้รับเงินสนับสนุน หรืออยู่ภายใต้อิทธิพลของนายทุน ซึ่งในทางปฏิบัติแล้วสามารถแยกประชาชนที่โหวตออกเสียงเลือกตั้งออกจากสภาที่ออกกฎหมายได้ สิ่งที่ตามมาคือตัวแทนของประชาชนไม่ได้ปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนที่อยู่ในภาคที่ด้อยโอกาสอย่างเพียงพอ

นอกจากนี้ ภายใต้เงื่อนไขปัจจุบัน นายทุนได้ทำการควบคุม ทั้งทางตรงและทางอ้อมแหล่งข่าวสารที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นสื่อ วิทยุ หรือการศึกษา ด้วยเหตุนี้มันจึงเป็นเรื่องที่ยากมาก หรือแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งในสังคมจะมีข้อสรุปที่เป็นภาวะวิสัยจริงๆ และใช้สิทธิทางการเมืองของตัวเองอย่างฉลาดได้

การผลิตในระบบทุนนิยมทำไปเพื่อผลกำไร ไม่ได้เพื่อประโยชน์ใช้สอย ไม่มีหลักประกันว่าคนที่สามารถทำงาน หรือเต็มใจที่จะทำงานจะอยู่ในฐานะที่จะหางานทำได้ จะมีคนตกงานมากเป็นกองทัพอยู่เสมอ คนงานอยู่ในสภาพที่กลัวว่าจะต้องสูญเสียงานที่ทำ

เนื่องจากคนงานที่ตกงาน หรือได้ค่าจ้างที่ต่ำไม่ได้เป็นตลาดที่ทำกำไร การผลิตสินค้าผู้บริโภคจึงต้องมีข้อจำกัด ความยากลำบากอย่างมากจึงเกิดขึ้นตามมา

การพัฒนาทางเทคโนโลยี่บ่อยครั้งทำให้เกิดการว่างงาน แทนที่จะช่วยบรรเทาการทำงานหนักสำหรับทุกคน แรงจูงใจของการทำกำไร ผนวกกับการแข่งขันกันเองระหว่างพวกนายทุนด้วยกันมีส่วนทำให้เกิดความไม่มั่นคง ในการสะสมหรือหรือการใช้เงินทุน ซึ่งนำไปสู่สภาวะตกต่ำทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง

การแข่งขันกันอย่างไม่มีขีดจำกัดทำให้เกิดแรงงานที่เกินความต้องการ และทำให้จิตสำนึกทางสังคมของบุคคลเป็นง่อยไป การทำให้บุคคลเป็นง่อยไปเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดของทุนนิยม

ระบบการศึกษาของเราได้รับผลกระทบจากความชั่วร้ายนี้ ทัศนคติของการแข่งขันที่เลยเถิดที่ใส่เข้าไปในตัวนักศึกษา ทำให้เขาถูกฝึกให้บูชาความสำเร็จที่ต้องแย่งชิงให้ได้มาเพื่อเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับอาชีพในอนาคต

ไอน์ไสตน์บอกว่า เขาเชื่อว่าวิธีเดียวที่จะล้มล้างความชั่วร้ายเหล่านี้ คือการสร้างระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมขึ้นมา ตามมาด้วยระบบการศึกษาที่จะเน้นให้เรามุ่งสู่เป้าหมายทางสังคม

ในเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม เจ้าของของปัจจัยในการผลิตคือสังคมส่วนรวม และเศรษฐกิจมีการวางแผนจากส่วนกลาง

เศรษฐกิจที่มีการควบคุม ซึ่งปรับการผลิตเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของชุมชน จะแจกจ่ายงานทำให้กับคนที่สามารถทำงานได้ และจะเป็นหลักประกันการมีชีวิตที่ดีสำหรับผู้ชาย ผู้หญิงและเด็กทุกคน

การศึกษาของบุคคล นอกจากจะส่งเสริมการพัฒนาความสามารถเฉพาะตัวแล้ว ต้องพยายามที่จะพัฒนาความรู้สึกถึงความรับผิดชอบสำหรับเพื่อมนุษย์ด้วยกัน แทนที่จะเป็นการยกย่องอำนาจและความสำเร็จเหมือนอย่างในสังคมปัจจุบันของเรา

มันเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องตระหนักว่าเศรษฐกิจที่วางแผนจากส่วนกลางยังไม่ใช่สังคมนิยมที่แท้จริง เศรษฐกิจที่วางแผนอาจจะนำไปสู่การทำให้บุคคลเป็นทาสได้

ความสำเร็จของสังคมนิยมจำเป็นต้องมีทางออกทำหรับปัญหาของสังคมและการเมืองที่ยากที่จะแก้ไข ทำอย่างไรที่จะป้องกันระบบข้าราชการจากการมีอำนาจมากจนเกินไป เพราะว่ามีทั้งอำนาจการเมืองและเศรษฐกิจอยู่ในมือ

สิทธิของคนจะได้รับการปกป้องอย่างไร และจะมีการถ่วงน้ำหนักจากประชาธิปไตยต่ออำนาจของระบบข้าราชการอย่างไร ในการทำให้เป้าหมาย และปัญหาของสังคมนิยมให้เห็นได้ชัดเจน ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวดในยุคเปลี่ยนถ่ายของเรา
https://creativesystemsthinking.wordpress.com/…/beyond-cap…/
 thanong
 14/12/2016



บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #223 เมื่อ: ธันวาคม 17, 2016, 11:06:37 AM »

มินิซีรี่ส์
 17. วิถีพอเพียง

นอกจากจะเป็นหนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่โลกเคยมีมา อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ยังเป็นนักวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจ การเมืองและสังคมที่ลึกซึ้ง

เขาเห็นจุดอ่อนและข้อผิดพลาดของระบบทุนนิยมที่ให้อำนาจกับนายทุนเพียงไม่กี่คนมากเกินไป นายทุนที่ครอบครองปัจจัยในการผลิต และเทคโนโลยี่การผลิตที่ก้าวหน้า แต่เป็นผู้ที่เห็นแต่ประโยชน์ส่วนตัว โดยไม่สนใจสภาพของสังคม หรือการเป็นอยู่ของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันที่ใช้แรงงาน

จากงานเขียนของไอน์สไตน์ทำให้เราเห็นว่าเขาไม่ได้เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่อยู่บนหอคอยงาช้าง ไม่สนใจความเป็นไปในสังคม แต่เขาเป็นคนที่รักมนุษยชาติ (humanist)

เขาเสนอทางออกให้นำเอาระบบสังคมนิยมมาใช้ โดยที่ปัจจัยการผลิต ไม่ว่าจะเป็นเงินทุน เครื่องจักร หรือที่ดินเป็นของส่วนรวม โดยมีการวางแผนการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการจริงๆ ทำให้เกิดความสมดุล และไม่มีปัญหาการตกงาน

ปัญหาใหญ่อย่างเดียวของระบบสังคมนิยม คือทำอย่างไรถึงจะมีการตรวจสอบหรือถ่วงดุลอำนาจไม่ให้ข้าราชการมีอำนาจมากจนเกินไป

ไอน์สไตน์เป็นชาวยิวสวิส และได้โอนสัญชาติมาเป็นอเมริกันเพื่อหนีภัยสงครามโลก แต่เขาไม่ได้มีความเชื่อในพระเจ้าของศาสนาจูดาห์หรือศาสนาคริสต์

เขาเห็นจักรวาลที่มีกฎเกณฑ์หรือมีระบบ และมันไม่จำว่าพระเจ้าจะเป็นผู้สร้างกฎเกณฑ์หรือระบบนี้ ซึ่งเกิดขึ้นโดยธรรมชาติที่ลี้ลับ แต่มนุษย์สามารถทำความเข้าใจความลี้ลับของจักรวาลนี้ได้ผ่านการไตร่ตรอง การค้นคว้าหาความจริงผ่านการพิสูจน์หรือการทดลอง

ถ้าหากโลกจะต้องมีศาสนา ไอน์สไตน์เชื่อว่าศาสนาพุทธ ซึ่งเขาเป็นเรียกว่าศาสนาสากล (Universal Religion)จะเป็นทางออกของมนุษยชาติ เพราะว่ามันเป็นแนวคิดที่อิงเหตุผล และความจริงที่ไม่ขัดแย้งต่อวิทยาศาสตร์หรือฟิสิคส์

แม้ว่าไอน์สไตน์จะไม่ได้ศึกษาศาสนาพุทธอย่างลึกซึ้งแต่เขารู้ว่าศาสนาสากลเป็นความจริงที่แท้

ในทางเศรษฐกิจและสังคม ไอน์สไตน์ไปถึงแค่สังคมนิยมที่เป็นทางออกของการจัดการกับปัญหาของการเป็นอยู่ของมนุษย์ให้พออยู่ร่วมกันได้อย่างยุติธรรมและสันติ แต่เขายังไปไม่ถึงวิถีพอเพียงแบบของไทยที่มีใจเป็นตัวนำ

ระบบพอเพียงกับระบบสังคมนิยมมีความคล้ายกันตรงที่ทั้ง2ทฤษฎีปฏิเสธอำนาจของนายทุนผูกขาด

แต่ระบบพอเพียงจะเน้นความเป็นเจ้าของร่วมของชุมชน ในขณะที่ระบบสังคมนิยมจะเน้นให้รัฐเป็นเจ้าของ

การที่ชุมชนเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตผ่านองค์กรเช่นสหกรณ์จะทำให้การบริหารงานมีความคล่องตัวกว่า ประชาชนที่เข้าร่วมมีจิตสำนึกและความผูกพันมากกว่า เพราะว่าประชาชนเติบโตขึ้นมาและอยู่ในชุมชนที่เป็นบ้านเกิดของตัวเอง

ทุกคนทำงานด้วยใจภายใต้วิถีพอเพียง โดยมีการแบ่งปันและการให้เป็นพื้นฐาน

เริ่มต้นจากหนึ่งสหกรณ์จะเป็นเศรษฐกิจระดับจุลภาค ถ้าหากว่ามีการเชื่อมโยงการทำงานของหลายๆสหกรณ์เข้าด้วยกันจะกลายเป็นพลังเศรษฐกิจ เมื่อสหกรณ์ในหลายๆอำเภอ หรือหลายๆจังหวัดราวตัวกัน หรือรวมตัวกันทั้งประเทศ จะกลายเป็นระบบสหกรณ์ระดับมหภาค ซึ่งจะทำให้ระบบเศรษฐกิจมีความมั่นคง และมีการจ้างงานที่แน่นอน

ที่ผ่านมาระบบสหกรณ์ของไทยล้มลุกคลุกคลานมาตลอดเพราะว่าโดนระบบทุนนิยมเข้าไปบ่อนทำลายไม่ให้ได้ตั้งหลักได้

ส่วนการเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตของรัฐภายใต้ระบบสังคมนิยมจะทำให้ข้าราชการมีอำนาจมากจนเกินไป การวางแผนจากส่วนกลางจะมีความเทอะทะไม่ยืดหยุ่นเหมือนกับที่รัสเซียคอมมิวนิสต์และจีนคอมมิวนิสต์เคยมีปัญหาในอดีต ทำให้ระบบสังคมนิยมต้องล่มสลายหลังการสิ้นสุดของสงครามเย็นในปี1989

ระบบเศรษฐกิจพอเพียงแบบไทยๆมีศาสนาพุทธหรือศาสนาสากลเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวอีก ยิ่งเพิ่มความเข้มแข็งของสังคม เพราะว่าศาสนาพุทธสอนให้คนทำดี ละความชั่ว และทำจิตใจให้ผ่องใสบริสุทธิ์ โดยจุดหมายสูงสุดคือการละเพื่อนิพพาน

ส่วนระบบสังคมนิยมมีรากเหง้ามาจากระบบคอมมิวนิสต์ที่เชื่อในพัฒนาการของวัตถุนิยมแบบวิภาษวิธี ไม่เชื่อในพระเจ้า หรือไม่เห็นความจำเป็นของศาสนา นี้คืออีกหนึ่งในจุดอ่อนของระบบสังคมนิยมที่เมื่อคนไม่มีศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจะหันไปบูชาเงิน หรือบูชาวัตถุแทน ทำให้เกิดความเสื่อมได้ง่าย

น่าเสียดายที่ไอน์สไตน์ไม่ได้ศึกษาศาสนาพุทธอย่างลึกซึ้ง หรือไม่มีโอกาสได้รู้จักระบบเศรษฐกิจพอเพียง มิเช่นนั้นเขาคงได้แสดงความเห็นให้โลกได้เห็นและเข้าในพระพุทธศาสนาและวิถีพอเพียงของไทย ซึ่งเป็นทางออกไม่ใช่ของไทยแต่ประเทศเดียว แต่เป็นทางออกในการลดความขัดแย้ง หรือความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้

ยิ่งระบบเศรษฐกิจพอเพียงมีศาสนาพุทธเป็นที่ยึดเหนี่ยว และมีระบบการปกครองแบบพ่อปกครองลูกยิ่งจะครบถ้วน ทุกอย่างลงล็อคโดยบริบูรณ์

สวรรค์บนโลกสามารถเนรมิตให้เกิดขึ้นได้ด้วยวิถีพอเพียงเท่านั้น
 thanong
 14/12/2016


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #224 เมื่อ: ธันวาคม 17, 2016, 11:08:40 AM »

ทรัมป์อาจจะโดนสอยก่อน

ดูเหมือนว่าโอกาสที่ทรัมป์จะได้เป็นประธานาธิบดีไม่แน่นอนเสียแล้ว ไม่แน่นอนอย่างสูงเสียด้วย ด้วยเหตุผลและแนวโน้มดังต่อไปนี้

1. พวกอิลิทฝ่ายฮิลลารี่ โอบามา และพรรคเดโมแครทกำลังทำทุกอย่างเพื่อสกัดไม่ให้ทรัมป์ไปนั่งในทำเนียบขาว เหมือนกับการแข่งขันกีฬา บอลแพ้ แต่คนไม่แพ้

2. ในวันที่19 ธันวาคม คณะผู้แทน (presidential electors)ที่มีจำนวนทั้งหมด538คนจะไปร่วมประชุมที่กรุงดีซี และที่สภาของรัฐอีก50แห่งเพื่อโหวตให้ทรัมป์หรือฮิลลารี่ตามโผของคะแนนElectoral College

3. ใครจะเป็นประธานาธิบดี ต้องได้คะแนนElectoral College 270เสียง ระบบElectoral Collegeเป็นการเลือกตั้งประธานาธิบดีทางอ้อม เพื่อเปิดโอกาสรัฐเล็กๆมีสิทธิ์มีเสียงในการเลือกประธานาธิบดี แทนที่จะใช้คะแนนจากการเลือกตั้งโดยตรงมาตัดสิน ผู้สมัครเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใดชนะในรัฐใด จะได้คะแนนElectoral Votesจากรัฐนั้นไปทั้งหมด

4. แม้ว่าทรัมป์จะแพ้ฮิลลารี่ในการเลือกตั้งโดยตรง ด้วยคะแนน 62,958,481ต่อ 65,818,412 หรือ 46.0%ต่อ48.1% แต่ทรัมป์ได้คะแนนElectoral College306 เสียง ส่วนฮิลลารี่ได้232เสียง

5. แต่จะมีคณะผู้แทนหลายคนที่จะไม่โหวตให้ทรัมป์ตามโผ โดยอ้างว่าทรัมป์มาเป็นประธานาธิบดีประเทศจะเกิดความแตกแยกเสียหาย หรืออ้างว่าทรัมป์ชนะเพราะว่าได้รัสเซียช่วยในการเลือกตั้ง

6. ถ้ามีคณะผู้แทน37คนไม่โหวตให้ทรัมป์ ทรัมป์จะได้คะแนนElectoral College 269เสียง ไม่พอที่จะชนะเป็นประธานาธิบดี เรื่องจะต้องไปสู่การพิจารณาของสภาคอนเกรซ

7. หรือแม้ว่าทรัมป์จะได้คะแนนElectoral College เกิน370เสียง แต่มีเสียงคัดค้านมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้อกล่าวหาว่ารัสเซียแฮ๊คข้อมูลในช่วงการเลือกตั้งเพื่อแฉเรื่องฉาวในอีเมล์ของฮิลลารี่และพรรคเดโมแครท ทางสภาคอนเกรซอาจจะไม่รับรองผลการเลือกตั้งก็ได้

8. โอบามาและซีไอเอกล่าวหาว่ารัสเซียแฮ๊คข้อมูลในช่วงการเลือกตั้งสหรัฐ แม้ว่าจะไม่โชว์หลักฐาน ทางเอฟบีไอออกมาค้านว่าไม่จริง แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเอฟบีไอจะเสียงอ่อยลงไป

9. ฮิลลารี่อ้างว่าเธอแพ้การเลือกตั้ง เพราะว่าเอฟบีไอขู่ว่าจะสอบอีเมล์ของเธอ รวมทั้งรัสเซียมีแผนการสกัดไม่ให้เธอมาเป็นประธานาธิบดี

10. ทางรัสเซียออกข่าวว่า ให้โชว์หลักฐานว่ารัสเซียมีการแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ มิเช่นนั้นให้หุบปากเสีย

11. วันที่16 มกราคม สภาคอนเกรซจะมีการประชุมร่วมกันทั้งสมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกของสภาผู้แทนราษฎรเพื่อนับผลของคะแนนElectoral Collegeอย่างเป็นทางการ

12. ถ้าหากว่ามีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพียง1คน และสมาชิกวุฒิสภาอีก1คนไม่ยอมรับผลการนับคะแนนElectoral College ด้วยการเซ็นจดหมายคัดค้าน ทรัมป์จะโดนสอยในชั้นนี้

13. เมื่อเกิดเดทล็อคในการเลือกตั้งประธานาธิบดี สภาผู้แทนราษฎร (House of Representatives)จะเป็นผู้เลือกประธานาธิบดี

14. ตัวแทนแต่ละรัฐจะมีคะแนน1เสียง หมายความว่ารัฐอาลาสก้า (มีคะแนนอีเลคตอลรัล 3) จะมีคะแนน1เสียงเท่ารัฐแคลิฟอร์เนีย (มีคะแนนอีเลคตอลรัล55)

15. ผู้ที่จะได้เป็นประธานาธิบดีต้องได้26เสียงในการโหวตในสภาผู้แทนราษฎร

16. สภาผู้แทนราษฎรจะเลือกประธานาธิบดี ส่วนวุฒิสภาจะเลือกรองประธานาธิบดี

17. ในกรณีที่สภาผู้แทนราษฎรไม่สามารถเลือกประธานาธิบดีได้ ผู้ที่ได้รับเลือกเป็นรองประธานาธิบดีจากสภาวุฒิจะได้เป็นประธานาธิบดี จนกว่าจะสรรหาประธานาธิบดีที่เหมาะสมได้

18. ในกรณีที่ขบวนการเลือกประธานาธิบดีล้มเหลวทั้งในสภาผู้แทนและสภาวุฒิ ประธานสภาผู้แทนจะทำหน้าที่เป็นรักษาการประธานาธิบดี

19. นายพอล ไรอัน ประธานสภาผู้แทนจะเป็นตาอยู่ก็ได้ ได้เป็นประธานาธิบดีแบบส้มหล่น

20. ถ้าหากทรัมป์โดนปล้นตำแหน่งทำเนียบขาว มีความเป็นไปได้สูงจะเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นมา เพราะว่าต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน

21. ถ้าเป็นเช่นนั้นจะเข้าทางตีนโอบามา เพราะว่าโอบามาอาจจะประกาศกฎอัยการศึกโดยอ้างว่าเพื่อควบคุมความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ แล้วจะรักษาการตำแหน่งประธานาธิบดีต่อไป

ชั่วโมงนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ในการเมืองสหรัฐ ที่มีความแตกแยกภายในอย่างรุนแรง
 thanong
 14/12/2016
บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 13 14 [15] 16 17 18   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: