Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 7 8 [9] 10 11 ... 42   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: เพื่อสุขภาพ  (อ่าน 78643 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 5 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
cupid
Jr. Member
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 455


« ตอบ #120 เมื่อ: มิถุนายน 22, 2010, 08:44:02 PM »

Undecided Undecided Undecided Undecided Cool sleepy sleepy sleepy

 หัวเราะกันนะ หัวเราะกันนะ หัวเราะกันนะ หัวเราะกันนะ หัวเราะกันนะ sleepy sleepy sleepy Wink
บันทึกการเข้า
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #121 เมื่อ: กรกฎาคม 11, 2010, 07:37:23 PM »



เข้าม่ะแย้วววววววววววววววหลับ ข้าววววววววม่ะ ทัม ยัง อิ อิ ตื่นนนนนนนนนนนนนนน เทวดา สีเขียวฟันขาว

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #122 เมื่อ: กรกฎาคม 27, 2010, 09:59:18 PM »


วิตามิน เป็นสารอินทรีย์ที่สิ่งมีชีวิตจำเป็นต้องได้รับในบริมาณเล็กน้อย สำหรับการเติบโต ขยายพันธุ์ และช่วยให้ให้มีสุขภาพดี ถ้าสิ่งมีชีวิตขาดวิตามินตัวใดตัวหนึ่งจะมีอาการป่วยซึ่งมีลักษณะเฉพาะขึ้นกับวิตามินที่ขาด

วิตามินแบ่งออกเป็น 2 จำพวก คือ

วิตามินที่ละลายในไขมัน ได้แก่ A, D, E, K
วิตามินที่ละลายในน้ำ ได้แก่ B, C

ผลเสียของวิตามิน

วิตามินนั้นมีประโยชน์ต่อร่างกายของ แต่ถ้าได้รับวิตามินในปริมาณที่เกินพอดี อาจจะมีผลเสียต่อร่างกายได้ดังนี้

วิตามินเอ ถ้าได้รับในปริมาณมากเกินไป จะเกิดอาการอาเจียน ผมร่วง ผิวหนังแห้งตกสะเก็ต ทำลายประสาทตา ตับ และกระดูก หรืออาจทำให้เด็กในท้องพิการได้
วิตามินบี6 ถ้าได้รับในปริมาณมากเกินไป จะมีอาการเดินเซ มือเท้าชา และส่งผลให้ประสาทกล้ามเนื้อแขนขาถูกทำลาย
วิตามินซี ถ้าได้รับในปริมาณมากเกินไป จะมีอาการปวดท้อง แน่นท้อง ท้องเสีย ท้องอืด และอาจรุนแรงถึงขั้นเป็นนิ่วในไตได้ แต่ถ้าหยุดรับประทานอาการเหล่านี้จะหายไป
วิตามินอี ถ้าได้รับในปริมาณมากเกินไป จะมีอาการปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ตาพร่ามัว กล้ามเนื้อล้า แน่นท้อง และท้องร่วง และถ้าร่างกายขาดวิตามินอีสูงมาก อาจขัดขวางวิตามินเอได้
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #123 เมื่อ: กรกฎาคม 27, 2010, 10:06:41 PM »

 6 อาหารต้านอาการหิวบ่อย   

  ยุคนี้คนมักกินจุบกินจิบเพราะรู้สึกว่า ตัวเองหิวอยู่บ่อย ๆ พฤติกรรมที่ว่า เกิดจากอะไร ลองมาสังเกตตัว
เองแล้ว ปรับเปลี่ยนสักนิดเพื่อสุขภาพที่ดีกว่าไหมค่ะ

     เมื่อกินอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาลมาก ร่างกายจะผลิตอินซูลินออกมามากเพื่อควบคุม ระดับน้ำตาลใน
เลือด และเมื่อระดับน้ำตาลลดลง อย่างรวดเร็ว ก็รู้สึกอยากกินโน่นกินนี่ขึ้นมาอีก วันนี้ขอแนะนำอาหารที่อุดมด้วยแร่ธาตุและวิตามิน ที่จะมาช่วยลดพฤติกรรมเหล่านี้ค่ะ

1. ข้าวกล้องและธัญพืชไม่ขัดขาว
อุดมไปด้วยโครเมียมที่ช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือด ให้คงที่ มีแมกนีเซียมที่ช่วยปรับระดับอินซูลิน แถมด้วยวิตามินบีที่จำเป็นต่อระบบเมแทบอลิซึม

2. อาหารทะเล
ลองหันมากินปลา หอย ปลาเล็กปลาน้อยที่มีซีลีเนียม แมกนีเซียม แคลเซียม และสังกะสี แร่ธาตุเหล่านี้ ช่วยรักษาสมดุลของสารสื่อประสาท ทำให้ไม่หิวบ่อย



3. ถั่ว
ของกินเล่นช่วยให้อารมณ์ดีที่อุดมด้วยวิตามินบี และแมกนีเซียม ช่วยในการปรับระดับอินซูลิน และช่วยการ
ทำงานของระบบประสาท

4. แอ๊ปเปิ้ล
มีเส้นใยอาหารมาก ทั้งชนิดที่ละลายน้ำได้ และชนิดที่ไม่ละลายน้ำ กินแล้วอยู่ท้อง รสชาติ ไม่หวานจัด และ
เป็นผลไม้ที่ดีต่อร่างกายทุกส่วน

5. ลูกพรุน
อุดมด้วยโครเมียม กินครั้งละน้อย ๆ จะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ได้

6. ลูกเกด
กินเป็นของว่าง ทำให้ไม่คิดถึงขนมขบเคี้ยว ลูกเกดมีแมงกานีสที่ช่วยในกระบวนการเผาผลาญ พลังงาน ทำ
ให้ระบบย่อยอาหารทำงานเป็นปกติ ช่วยเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดอย่างช้า ๆ ทำให้ไม่หิวบ่อย


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #124 เมื่อ: สิงหาคม 03, 2010, 09:16:24 PM »

เตือนภัย! สาว ๆ ที่ชอบต่อเล็บ


เตือนภัย! สาวๆที่ชอบต่อเล็บ (Woman's Story)

          สาว ๆ คนไหนชื่นชอบการต่อเล็บเป็นชีวิตจิตใจ ต้องอย่าลืมมองข้ามความปลอดภัย และพึงระวังภัยเงียบที่เกิดจากการต่อเล็บเป็นพิเศษ เอาเป็นว่าไปติดตามกันเลยดีกว่าว่า เจ้าภัยเงียบนี้คืออะไร...

          ภัยเงียบที่อาจเกิดขึ้นได้จากการต่อเล็บนั้น เป็นอันตรายที่หลายคนอาจคาดไม่ถึง เนื่องจากการต่อเล็บนั้นปัจจัยที่สำคัญ ได้แก่ "กาว" ซึ่งส่วนใหญ่มักจะใช้กาวที่ทำด้วยเมธิลเมธาครายเลต ซึ่งมีราคาถูก โดยจะมีลักษณะกลิ่นฉุน และเป็นพิษ อาจจะมีปฏิกิริยากับผิวหนังหรือทำให้เล็บเสียหายถาวรได้

          อีกทั้งเมื่อกาวแห้งจะแข็งตัว และมักจะยึดติดกับเล็บจริงอย่างแน่นหนา จึงอาจทำให้เล็บฉีกได้เมื่อจะถอดออก บางครั้งเมื่อถอดเล็บปลอมไม่ออก ถึงกับต้องใช้ตะไบตัดออก ก็ยิ่งทำให้เล็บที่อยู่ข้างใต้เสียหายหนัก ซึ่งจะส่งผลถึงสุขภาพของเล็บได้ นอกจากนั้นกาว ซึ่งเป็นสารเคมีอาจถูกดูดซึมเข้าสู่เล็บ และอาจเป็นสาเหตุของการติดเชื้อรา หรือสะสมเชื้อราภายใต้เล็บ

          รู้แบบนี้แล้ว เห็นทีสาว ๆ ที่รักสวยรักงาม และชื่นชอบการต่อเล็บต้องหันมาให้ความสำคัญ กับเรื่องของความปลอดภัยกันบ้างแล้วล่ะค่ะ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #125 เมื่อ: สิงหาคม 13, 2010, 09:11:29 PM »

  ขับลม-คลายร้อน ‘คอฟฟีตะไคร้’



กินดี’ วันนี้มีสูตรเครื่องดื่มแก้ง่วง-ดับร้อน อย่าง กาแฟเย็น ตามสูตรของเนสท์เล่ คอฟฟีเมต ที่ไม่ธรรมดา เพราะเติม 'ตะไคร้' สมุนไพรพื้นบ้านที่มีสรรพคุณช่วยขับลม ลดอาการจุกเสียด แก้ปัญหาท้องอืด ท้องเฟ้อ

โดยส่วนผสมที่ต้องเตรียมสำหรับ 1 แก้ว ขนาด 12 ออนซ์ ประกอบด้วย...
กาแฟ 2 ช้อนพูน
น้ำตาลทราย 4 ช้อนชา
ครีมเทียมไขมันต่ำ 5 ช้อนชาพูน
ตะไคร้ทุบ 2 ต้น
น้ำร้อน 1/3 ถ้วยตวง
น้ำแข็ง 1 แก้ว

เมื่อเตรียมส่วนผสมข้างต้นเรียบร้อยแล้ว ให้เริ่มจากการตักกาแฟใส่แก้วชง เติมน้ำตาลและเทน้ำร้อนใส่ จากนั้นคนให้ส่วนผสมละลาย เติมครีมเทียมไขมันต่ำ แล้วใช้ตะไคร้ที่ทุบส่วนรากคนกาแฟแทนช้อน เพื่อให้สารอาหารจากตะไคร้ซึมออกไปรวมกับกาแฟ ก่อนดื่มเติมน้ำแข็งเพิ่มความเย็นสดชื่น...เพียงเท่า นี้ คุณผู้อ่านก็จะได้ดื่มกาแฟที่มีทั้งกลิ่นและรสชาติขอ งตะไคร้ผสมอยู่ด้วย.
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #126 เมื่อ: สิงหาคม 27, 2010, 09:24:58 AM »

วัดความดัน ยิ่งบ่อย ยิ่งดี



การวัดความดันโลหิตนั้น ที่จริงไม่จำเป็นต้องตรวจวัดเฉพาะตอนไปพบแพทย์เพื่อต รวจร่างกาย หรือเมื่อมีอาการป่วย

โดยในแต่ละวัน ทุก ๆ คน สามารถวัดความดันโลหิตได้บ่อยครั้งเท่าที่ต้องการ หรือยิ่งบ่อย ก็ยิ่งดี ซึ่งผลการวัดความดันที่ได้ สามารถจดบันทึกเพื่อนำไปให้แพทย์วินิจฉัย ประเมินความดันเฉลี่ยว่า ปกติ ต่ำ หรือสูง

บ่อยครั้ง ความดันของผู้ป่วยจะสูงเมื่อไปพบแพทย์ อาจเกิดจากความกังวลใจต่าง ๆ

อย่างไรก็ตาม ก่อนการวัดความดันทุก ๆ ครั้ง ผู้ถูกตรวจไม่ควรอยู่ในภาวะเหน็ดเหนื่อย ตื่นเต้น ควรนั่งอยู่นิ่ง ๆ ไม่พูดคุย หรือนั่งไขว้ขาขณะวัดความดัน

อีกทั้งตำแหน่งการวางแขนข้างที่ใช้วัดความดัน ควรตั้งให้อยู่ในระดับเดียวกับหัวใจ

แต่การวัดความดันไม่ควรทำ หากผู้นั้นมีแผลผ่าตัดบริเวณช่วงแขนหรือหน้าอกเด็ดขาด.




บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #127 เมื่อ: ตุลาคม 04, 2010, 02:55:15 PM »

กินบะหมี่สำเร็จรูปมากไปเสี่ยงความดัน

อาหารสำเร็จรูปอย่าง บะหมี่ กินง่ายก็จริง แต่ถ้าได้รับมากไปอาจเสี่ยงเป็นโรคความดัน




อาหารสำเร็จรูปอย่าง บะหมี่ กินง่ายก็จริง แต่ถ้าได้รับมากไปอาจเสี่ยงเป็นโรคความดัน เพราะจากการศึกษาของสถาบันวิจัยโภชนา มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า ส่วนประกอบของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกว่า 60-70% เป็นแป้งสาลี รองลงมาคือ ไขมันในเครื่องปรุงรส 15-20 % เกลือและผงชูรสอีก 5-6% หากรับประทานมากกว่า 1 ซองหรือ 1 ถ้วยต่อวัน จะทำให้ร่างกายได้รับปริมาณโซเดียมเกินความต้องการของร่างกาย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อระบบการทำงานของไต และเสี่ยงต่อการเกิดภาวะความดันโลหิตสูง

ฉะนั้น ควรเลือกซื้อบะหมี่สำเร็จรูปที่บนฉลากระบุว่า เติมสารไอโอดีน ธาตุเหล็ก และวิตามินเอ เวลารับประทานควรเติมไข่ เนื้อสัตว์ และผักลงไปทุกครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายได้รับโซเดียมและไขมันมากเกินไป



ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
บันทึกการเข้า

finghting!!!
อุ๊
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1778



« ตอบ #128 เมื่อ: ตุลาคม 07, 2010, 09:30:37 AM »

ขยันหาข้อมูลมาให้จังเลยนะจ๊ะนู๋จัย

ขอบคุณมาก ๆ สำหรับสิ่งดี ๆ จ้า

 Cheesy
บันทึกการเข้า
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #129 เมื่อ: ตุลาคม 14, 2010, 08:56:35 AM »

เทศกาล ‘กินเจ’ ได้เริ่มขึ้นแล้ว วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์ มีคำแนะนำสำหรับการกินเจให้ถูกวิธีมาเล่าสู่กันฟัง



- อย่าเลือกรับประทานแต่ผัก เพราะจะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารไม่ครบ ควรเสริมด้วยธัญพืชหรือพืชตระกูลถั่ว เช่น เต้าหู้ เผือก มัน กลอย เมล็ดงา ลูกเดือย และลูกบัว ร่วมด้วย

- ไม่ควรบริโภคแป้งในรูปแบบต่าง ๆ มากเกินไป รวมถึงอาหารที่ผัดและทอด ทางที่ดีควรเลือกอาหารที่ผ่านการปรุงด้วยการต้ม ย่าง อบ หรือยำ

- ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็มจัด จากการใช้ซีอิ๊วขาว เต้าเจี้ยว หรือเกลือแทนน้ำปลา เพราะอาจส่งผลต่อไตและเป็นความดันโลหิตสูง

- ไม่ควรรับประทานอาหารรสจัด เพราะส่งผลต่ออวัยวะภายใน เช่น รสขมจัดส่งผลต่อหัวใจ เค็มจัดส่งผลต่อไต หวานจัดส่งผลต่อม้าม เปรี้ยวจัดส่งผลต่อตับ และเผ็ดจัดส่งผลต่อปอด


รู้อย่างนี้แล้วปรุงรสชาติอาหารในปริมาณพอเหมาะดีที่ สุด
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #130 เมื่อ: ตุลาคม 14, 2010, 09:06:14 AM »

ขยันหาข้อมูลมาให้จังเลยนะจ๊ะนู๋จัย

ขอบคุณมาก ๆ สำหรับสิ่งดี ๆ จ้า

 Cheesy

 Cheesy sa by dee mai ja kon souy  Wink
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #131 เมื่อ: ตุลาคม 20, 2010, 08:20:43 PM »

แนะกิน'ขมิ้น'ช่วยขจัดเซลล์มะเร็ง




นัก วิจัยมหาวิทยาลัยเลสเตอร์ในอังกฤษแนะนำให้ผู้ป่วยมะเ ร็งกิน "ขมิ้น" เครื่องเทศสีเหลืองนวลที่นำมาใช้ทำผงกะหรี่ เพราะนอกจากมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ที่สำคัญยังทำให้การทำเคมีบำบัดสำหรับกำจัดเซลล์มะเร ็งมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงช่วยป้องกันไม่ให้โรคกำเริบ

จากการศึกษาในผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่เป็นสาเหตุให ้คนทั่วโลกเสียชีวิตปี ละกว่า 6 แสนราย โดยเป็นมะเร็งชนิดที่ร้ายแรงอันดับที่ 3 จากการ เสียชีวิตด้วยมะเร็งในประเทศตะวันตก ดร.คาเร็น บราวน์ ผู้นำการวิจัย กล่าวว่า เซลล์มะเร็งกลุ่มเล็กๆ มักจะหลงเหลือและทำให้โรคกลับมากำเริบได้อีก เซลล์เหล่านี้ฝังตัวอยู่ตามที่ต่างๆ ภายในเนื้องอกมะเร็งทำให้ไม่โดนเล่นงานตอนทำเคมีบำบั ด

"จากการทดลอง ในแล็บพบว่าสารเคอร์คูมินจากขมิ้น นอกจากทำให้เคมีบำบัดมีประสิทธิภาพ ยังช่วยกำจัดเซลล์ที่ต่อต้านเคมีบำบัดได้ด้วย ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้โรคกลับมากำเริบ" ดร.บราวน์ กล่าว
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #132 เมื่อ: ตุลาคม 21, 2010, 09:05:41 AM »

บทความโดย : ศ.นพ.อมร ลีลารัศมี อายุรแพทย์

ปัจจุบัน นี้เรามักจะได้ยินเรื่องภาวะการติดเชื้อในกระแสเลือด หลายคนสงสัยว่า การติดเชื้อในกระแสเลือดคืออะไร มีวิธีป้องกันและแก้ไขอย่างไร มาฟังคำตอบกันครับ

การติดเชื้อในกระแสเลือด เป็นภาวะที่มีอัตราการตายสูงมาก และตายอย่างรวดเร็ว ถ้าหากได้รับ





การรักษาไม่ทันท่วงที เพราะเลือดคือองค์ประกอบหลักของร่างกาย ที่ปราศจากเชื้อและไหลไปอวัยวะทุกส่วน หากเชื้อเข้าสู่กระแสเลือดได้ ร่างกายจะมีปฏิกิริยาต่อสู้ และทำให้เกิดการอักเสบทั่วร่างกาย

การติดเชื้อจากอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย สามารถทำให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือดได้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นปอด ทางเดินปัสสาวะ ทางเดินอาหาร หรือผิวหนัง ซึ่งภาวะนี้ต้องให้การรักษาอย่างรวดเร็วและทันกาล เพราะความรุนแรงจะทวีคูณตามเวลาที่ติดเชื้อจนทำให้เส ียชีวิตได้

ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ป่วยเด็ก เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่ ผู้ป่วยสูงอายุ เพราะการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันเริ่มเสื่อม และผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันในร่างกายต่ำ หรือผู้ป่วยที่มีโรคร่วมหลายอย่าง เช่น เบาหวาน ไตวายเรื้อรัง ได้รับยาเคมีบำบัด เป็นต้น



นอกจากปัจจัยของผู้ป่วยแล้ว เชื้อก่อโรคก็เป็นปัจจัยที่สำคัญ เช่น ถ้าเป็นเชื้อที่มีความรุนแรง จะทำให้โรคดำเนินไปอย่างรวดเร็ว หรือเป็นเชื้อดื้อยาหลายขนานก็จะทำให้การรักษายุ่งยา กขึ้นหรือได้ผลไม่ดี

อาการนำของผู้ป่วย จะมาโรงพยาบาลด้วยอาการของการติดเชื้อของอวัยวะที่เป ็นสาเหตุ ร่วมกับมีอาการทั่วไป เช่น มีไข้ หนาวสั่น อ่อนเพลีย อุจจาระร่วง อาจซึมหรือหมดสติ ในรายที่มีอาการรุนแรงจะมีความดันโลหิตต่ำหรือมีภาวะ ช็อก การทำงานของอวัยวะต่างๆ เช่น ไต ปอด หัวใจล้มเหลวได้ ซึ่งเป็นสาเหตุที่สำคัญของการเสียชีวิต

การรักษา แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะที่ครอบคลุมเชื้อก่อโรคที่สงสัย และให้การรักษาแบบประคับประคอง เช่น ให้ออกซิเจน ให้สารน้ำเข้าหลอดเลือดให้เพียงพอ ถ้ามีอาการหอบเหนื่อยมากอาจจำเป็นต้องใส่ท่อหลอดลมเพ ื่อช่วยการหายใจ และติดตามอาการอย่างใกล้ชิด

โดยทั่วไปแล้ว แพทย์จะให้ผู้ป่วยนอนโรงพยาบาล เพื่อติดตามอาการ ผู้ป่วยที่มีความดันเลือดต่ำ เนื่องจากการติดเชื้อ หรือมีไข้สูงอาจต้องนอนโรงพยาบาลนานครับ


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #133 เมื่อ: พฤศจิกายน 11, 2010, 10:56:37 AM »

 Smiley

สวัสดีค่ะ

นู๋จัยไม่ค่อยว่างที่จะนำข่าวมาอัพเดททุกวัน ต้องขออภัยไว้ณ.ที่นี้ด้วยค่ะ ถ้าพี่ๆๆ ผู้ใดจะกรุณาเข้ามาโพสให้ความรู้ ในกระทู้
จะขอขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ




           
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #134 เมื่อ: ธันวาคม 19, 2010, 08:56:42 PM »




เพื่อ รับมือหรือแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที อะไรที่จะหนักก็จะได้บรรเทาเบาบางลง สีของปัสสาวะก็อาจบอกให้รู้คร่าวๆ ได้ว่าร่างกายของเราปกติดีอยู่หรือไม่ ลองมาตรวจร่างกายตัวเองกันหน่อยดีไหม...เอาแบบง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก แค่ลองสังเกตสีปัสสาวะของตัวเองดู

 ปัสสาวะออกมาเป็นสีอมแดง

หากปัสสาวะออกมาเป็นสีนี้ต้องลองนึกให้ออกว่าได้รับป ระทานอาหารอะไรที่เป็น สีทำนองนี้หรือเปล่า เช่น แบล็คเบอร์รี่หรือผักกาดม่วง แต่ถ้าแน่ใจว่าไม่ได้กินอะไรใกล้เคียงกับสีแดงเลย ก็อาจเป็นลางร้าย เพราะสีแดงนั้นอาจจะเป็นเลือดที่ขับออกมาจากไตหรือกร ะเพาะปัสสาวะอาจอักเสบ หรือไม่ก็อาจจะมีอะไรในร่างกายที่ฉีกขาดเป็นแน่ ควรรีบปรึกษาแพทย์โดยด่วน

 ปัสสาวะเป็นสีน้ำตาล

มองได้ 2 อย่างคือ อาจจะเกิดจากการรับประทานถั่วในปริมาณที่มาก หรือว่าอาจจะเป็นลิ่มเลือดที่ปนออกมาก็ได้ ทางที่ดีควรปรึกษาแพทย์ดีกว่า

ปัสสาวะออกเป็นสีเหลือง

ถ้าปัสสาวะออกเป็นสีเหลืองอ่อนเป็นไปได้ว่าวันนั้นร่ างกายจะได้รับวิตามินบี 2 มากเกินความต้องการจนต้องขับออกมา แต่ถ้าเป็นสีเหลืองเข้มก็หมายความว่า คุณดื่มน้ำน้อยเกินไปแล้ว แต่ถ้ามั่นใจว่าดื่มน้ำเยอะแล้วแต่ทำไมปัสสาวะยังเป็ นสีเหลืองเข้มอยู่ เหมือนเดิม ก็คงต้องรีบปรึกษาแพทย์เพราะอาจมีโรคไตแฝงมาแล้วก็ได ้

 ปัสสาวะมีสีขุ่น

ในผู้ที่ปัสสาวะสีขุ่นให้ลองดื่มน้ำส้มดูว่าหายหรือไ ม่ ถ้าไม่หาย อาจเนื่องมาจากติดเชื้อบางอย่างก็ได้ อาการอย่างนี้ควรปรึกษาแพทย์

ปัสสาวะมีสีส้ม

อาจเป็นผลข้างเคียงที่เกิดจากการใช้ยาโพรีเดียมที่ใช ้ในการรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

 ปัสสาวะเป็นสีน้ำเงิน

ถ้าปัสสาวะมีสีอย่างนี้ ไม่ต้องแปลกใจ โดยเฉพาะหากคุณทานยาแก้อาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เพราะในยามีส่วนผสมของสารเมธีลีน และขับออกมาทางปัสสาวะ ปัสสาวะจึงมีสีออกฟ้าๆ

เข้า ห้องน้ำคราวนี้ อย่าลืมสังเกตดูสีปัสสาวะ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้ไม่ควรมองข้าม สังเกตตัวเองนิดๆ หน่อยๆ ก็เป็นผลดีกับสุขภาพร่างกาย






ที่มา ... ผู้หญิงนะคะ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 7 8 [9] 10 11 ... 42   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: